การทำงานในปัจจุบันเรียกว่าได้เปลี่ยนแปลงไปจากแต่ก่อนทั้งการเข้ามาของเทคโนโลยี การเผชิญวิกฤต ทำให้พฤติกรรมการทำงานของคนได้ปรับเปลี่ยนไป รวมทั้งการเกิดช่องว่างระหว่าง Gen ด้วย ดังนั้นผู้เขียนจึงอยากแนะนำ Johari Window หนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใจตัวเอง รวมทั้งผู้อื่น ไปประยุกต์ใช้การดูแล People management กันค่ะ
พฤติกรรมการทำงานที่เปลี่ยนไป
อย่างที่บอกว่า การระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อวิถีชีวิตและการทำงานของผู้คนทั่วโลก แม้ว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงแล้ว แต่พฤติกรรมการทำงานของเราได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวรในหลายด้าน รวมทั้งการเข้ามาของเทคโนโลยี Ai ก็ส่งผลในเรื่องพฤติกรรมการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน ต่อไปนี้คือการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนค่ะ
การทำงานจากระยะไกล (Remote Work) การทำงานจากบ้านหรือสถานที่อื่นๆ นอกออฟฟิศกลายเป็นเรื่องปกติ องค์กรหลายแห่งนำระบบการทำงานแบบผสมผสาน (Hybrid) มาใช้ เกิดความยืดหยุ่นในเรื่องเวลาและสถานที่ทำงานมากขึ้นค่ะ
การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การประชุมออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Zoom, Microsoft Teams กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การใช้เครื่องมือการทำงานร่วมกันแบบออนไลน์เพิ่มขึ้น เช่น Google Workspace, Slack
การให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี องค์กรและพนักงานให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตและความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานมากขึ้น มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพแบบออนไลน์ เช่น การออกกำลังกาย การทำสมาธิ เป็นต้นค่ะ
การสื่อสารและการทำงานเป็นทีม รูปแบบการสื่อสารเปลี่ยนไป เน้นการสื่อสารผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น ต้องพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกันแบบเสมือนจริง (Virtual Collaboration)
วัฒนธรรมองค์กร การสร้างและรักษาวัฒนธรรมองค์กรเป็นความท้าทายใหม่ องค์กรต้องหาวิธีใหม่ ๆ ในการสร้างความผูกพันของพนักงานค่ะ
นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของ พฤติกรรมการทำงานที่เปลี่ยนไปหลังจากผ่านวิกฤตมา แต่อีกปัญหาที่เรามักพบก็คือ การจัดการกับความหลากหลายของพนักงานในแง่ของช่วงอายุและวัฒนธรรม ซึ่งเรื่องนี้จะส่งผลโดยตรงต่อการสื่อสารภายในองค์กรค่ะ เพราะความแตกต่างระหว่างวัยทำให้เกิดช่องว่างในการสื่อสาร นำไปสู่ความเข้าใจผิดและปัญหาต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานและความพึงพอใจของพนักงานได้ด้วยค่ะ
โดยหนึ่งในปัญหาที่พบบ่อยก็คือ การสื่อสารที่ไม่ตรงกันระหว่างพนักงานต่างรุ่น อย่างกลุ่ม Baby Boomers และ Generation X อาจชอบการสื่อสารแบบเป็นทางการและเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ในขณะที่ Millennials และ Generation Z อาจพึ่งพาเทคโนโลยีและการสื่อสารแบบทันที เช่น แชทหรือ Social Media ความแตกต่างนี้อาจนำไปสู่การตีความผิดพลาด การส่งข้อมูลไม่ครบถ้วน หรือแม้แต่การพลาดข้อมูลสำคัญได้เช่นกันค่ะ
ดังนั้นผู้เขียนจึงอยากแนะนำหนึ่งในเครื่องมือทางจิตวิทยาที่ใช้เพื่อเพิ่มความเข้าใจตนเองและความสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่าง Johari Window เพื่อนำไปประยุกต์ใช้และสร้างความสัมพันธ์ในองค์กรค่ะ
Johari Window
Johari Window เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยาที่ใช้เพื่อเพิ่มความเข้าใจตนเองและความสัมพันธ์กับผู้อื่น ถูกคิดค้นโดย Joseph Luft และ Harry Ingham ในปี 1955 แนวคิดนี้แบ่งความรู้เกี่ยวกับตัวเองออกเป็น 4 ส่วนหรือ “หน้าต่าง”:
พื้นที่เปิดเผย (Open Area): สิ่งที่ทั้งตัวเราและผู้อื่นรู้เกี่ยวกับตัวเรา
จุดบอด (Blind Area): สิ่งที่ผู้อื่นรู้เกี่ยวกับเรา แต่เราไม่รู้
พื้นที่ซ่อนเร้น (Hidden Area): สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับตัวเอง แต่ผู้อื่นไม่รู้
พื้นที่ไม่รู้ (Unknown Area): สิ่งที่ทั้งตัวเราและผู้อื่นไม่รู้เกี่ยวกับตัวเรา
เป้าหมายของ Johari Window คือการขยายพื้นที่เปิดเผยให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มความเข้าใจตนเองและปรับปรุงการสื่อสารกับผู้อื่นค่ะ อย่างที่บอกว่าการทำงานในปัจจุบันอาจเกิดความเข้าใจผิดเพราะการสื่อสารไม่ตรงกันระหว่าง Generations ได้
เพราะว่าด้วยทัศนคติและค่านิยมที่แตกต่างกันระหว่างรุ่นยังอาจทำให้เกิดความขัดแย้งในที่ทำงาน พนักงานรุ่นเก่าอาจมองว่าคนรุ่นใหม่ขาดความอดทนและไม่เคารพลำดับชั้น ในขณะที่คนรุ่นใหม่อาจรู้สึกว่าวิธีการทำงานแบบเดิมล้าสมัยและไม่ยืดหยุ่น ความเข้าใจผิดเหล่านี้สามารถลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ได้หากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมค่ะ
ซึ่งผลกระทบที่ตามมาจากปัญหาการสื่อสารเหล่านี้อาจรุนแรงถึงขั้นทำให้พนักงานตัดสินใจลาออก โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มักมองหาสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปิดกว้างและมีการสื่อสารที่ชัดเจนค่ะ ดังนั้นการขาดความเข้าใจและการยอมรับในความแตกต่างอาจทำให้พนักงานรู้สึกไม่มีคุณค่า ไม่ได้รับการยอมรับ หรือไม่สามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจหาโอกาสใหม่ในที่อื่นแทนค่ะ
โดยการแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความพยายามจากทุกฝ่ายในองค์กร ผู้บริหารต้องตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารที่เปิดกว้างและยืดหยุ่น รวมทั้งต้องสร้างความเข้าใจกันในทุกฝ่าย เพื่อป้องกันการสื่อสารที่ผิดพลาด รวมทั้งสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กรค่ะ
ดังนั้นหนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับปัญหาการสื่อสารระหว่างวัยคือJohari Window ซึ่งเป็นแนวคิดทางจิตวิทยาที่ช่วยเพิ่มความเข้าใจตนเองและความสัมพันธ์กับผู้อื่นค่ะ
ซึ่งการประยุกต์ใช้ Johari Windowจะสามารถช่วยให้พนักงานแต่ละรุ่นเข้าใจตนเองและผู้อื่นได้ดีขึ้นมากขึ้นค่ะ โดยเฉพาะในส่วนของ “พื้นที่เปิดเผย” (Open Area) และ “จุดบอด” (Blind Area) องค์กรสามารถจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้พนักงานต่างวัยได้แบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ของตน ซึ่งจะช่วยขยาย “พื้นที่เปิดเผย” และลด “จุดบอด” ในการทำงานร่วมกันได้ด้วยค่ะ
นอกจากนี้ การใช้ Johari Windowยังช่วยลดในส่วนของ “พื้นที่ซ่อนเร้น” (Hidden Area) ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของความเข้าใจผิดได้ โดยส่งเสริมให้มีการเปิดเผยข้อมูล ความคิด และความรู้สึกอย่างเหมาะสม ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความไว้วางใจและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยค่ะ
ตัวอย่างการนำไปใช้
บริษัท ABC Tech เป็นบริษัทซอฟต์แวร์ที่มีพนักงานหลากหลายช่วงอายุ ตั้งแต่ Baby Boomers ไปจนถึง Generation Z พวกเขาพบว่ามีปัญหาการสื่อสารระหว่างทีมพัฒนาซอฟต์แวร์รุ่นเก่าและรุ่นใหม่ จึงตัดสินใจใช้Johari Window เพื่อแก้ไขปัญหา
การประชุมเชิงปฏิบัติการ
บริษัทจัดประชุมเชิงปฏิบัติการโดยแบ่งพนักงานเป็นกลุ่มผสมระหว่างรุ่น
แต่ละคนเขียนคุณลักษณะของตนเองและของเพื่อนร่วมงานต่างรุ่น
การขยาย “พื้นที่เปิดเผย”
พนักงานรุ่นเก่าแบ่งปันประสบการณ์และความรู้ด้านเทคนิค
พนักงานรุ่นใหม่แบ่งปันความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีล่าสุด
ทั้งสองฝ่ายเรียนรู้จุดแข็งของกันและกัน เพิ่มความเข้าใจร่วมกัน
การลด “จุดบอด”
ผู้จัดการโครงการให้ข้อมูลป้อนกลับแก่ทั้งสองกลุ่ม
พนักงานรุ่นเก่าตระหนักว่าบางครั้งพวกเขาดูไม่เปิดรับไอเดียใหม่ ๆ
พนักงานรุ่นใหม่เข้าใจว่าบางครั้งพวกเขาอาจดูไม่อดทนหรือขาดการเคารพ
การเปิดเผย “พื้นที่ซ่อนเร้น”
พนักงานรุ่นเก่าเปิดเผยความกังวลเกี่ยวกับการตามทันเทคโนโลยีใหม่
พนักงานรุ่นใหม่แบ่งปันความรู้สึกไม่มั่นใจในประสบการณ์ของตน
ทั้งสองฝ่ายเริ่มเข้าใจมุมมองของกันและกันมากขึ้น
การสำรวจ “พื้นที่ไม่รู้”
ทีมร่วมกันระดมความคิดเพื่อหาวิธีการทำงานใหม่ๆ
เกิดไอเดียในการผสมผสานประสบการณ์ของรุ่นเก่ากับเทคโนโลยีล่าสุด
ผลลัพธ์ก็คือ
การสื่อสารในทีมดีขึ้น เกิดความเข้าใจและเคารพซึ่งกันและกัน
ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากทีมสามารถใช้จุดแข็งของแต่ละรุ่น
อัตราการลาออกลดลง เพราะพนักงานรู้สึกว่าได้รับการยอมรับและเข้าใจมากขึ้น
เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ จากการผสมผสานมุมมองของทั้งสองรุ่น
ซึ่งนี่ก็คือตัวอย่างคร่าว ๆ ของการนำ Johari Windowมาประยุกต์ใช้ในองค์กรค่ะ การจัดอบรมเพื่อเพิ่มความเข้าใจ การส่งเสริมการทำงานเป็นทีมที่มีความหลากหลาย และการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ เมื่อนำมาใช้ร่วมกับแนวคิด Johari Windowจะช่วยให้องค์กรสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และเข้าใจซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้นค่ะ
ในท้ายที่สุด องค์กรที่สามารถจัดการกับความสัมพันธ์ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะไม่เพียงแต่รักษาพนักงานที่มีคุณภาพไว้ได้เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ประโยชน์จากความหลากหลายเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อีกด้วยค่ะ
ซึ่งการเข้าใจและยอมรับในความแตกต่าง ผ่านการสื่อสารจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในยุคที่ความหลากหลายกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของโลกธุรกิจนั่นเองค่ะ
ถ้าชอบ หรือ สนใจอยากอ่านบทความด้านการตลาดแบบนี้อีก ผู้เขียนฝากติดตามด้วยนะคะ หรือ ถ้าใครอยากให้ผู้เขียนนำมุมมองการตลาดแบบไหนมาเล่าให้ฟัง สามารถคอมเมนต์บอกกันได้เลยนะคะ
สำหรับนักอ่านที่ชอบ และ อยากอ่านบทความเกี่ยวกับการตลาดเพิ่มเติม รวมถึงข่าวสารด้านการตลาดต่าง ๆ สามารถติดตามได้จาก เพจการตลาดวันละตอน รวมไปถึงเว็บไซต์ Twitter Instagram YouTube ของการตลาดวันละตอนได้เลยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะヽ(•‿•)ノ
อยากอ่านบทความการตลาดเพิ่มเติม ลองเลือกอ่านบทความด้านล่างนี้ได้เลยนะคะ