จนสมัยที่ยังทำงานเป็น Digital Strategy ก็ใช้ Funnel นี้เป็นแกนหลักในการวางแผนและกลยุทธ์การตลาดทุกครั้งไป) ที่เป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของผู้บริโภควันนั้น และก็มาที่ Marketing 5.0 ที่ว่าด้วยเรื่องของ Digital และ Data อย่างเต็มตัว
อย่าง Pepsi ออกรสชาติใหม่จากการใช้ Social Listening กวาด Data มาดูว่าผู้บริโภคแสดงความคิดเห็นอย่างไรบนออนไลน์ จนนำมาสู่การออกสินค้าใหม่ที่ตรงกับ Social Consumer Insight และก็ขายดี
พอเข้าเรื่องการตลาด Marketing 6.0 ก็จะเริ่มต้นเกริ่นมาถึง Consumer กลุ่มใหม่อย่าง Gen Z และ Alpha ที่จะมีบทบาทความสำคัญอย่างมากต่อนักการตลาดและแบรนด์ทั้งโลกนับจากนี้ไป เพราะ Gen Z เองก็กลายเป็นวัยทำงานหาเงินมีรายได้สูงก็เยอะแล้ว แล้วไหนจะ Alpha ที่มีความสำคัญกับการใช้เงินของพ่อแม่ที่เป็น Millennial Parent อีกหละ จะไม่เหมือน Marketing 5.0 ที่จะพูดถึง Consumer ทุก Generation แบบไม่เฉพาะเจาะจง Gen ใด Gen หนึ่งเป็นพิเศษครับ
พูดถึงพฤติกรรมการเสพคอนเทนต์แบบใหม่ที่เป็น Short-Form Video อย่างบ้าคลั่งหรือ TikTok นั่นเอง พูดถึงเทรนด์การซื้อของออนไลน์อย่าง Social Commerce หรือ Live Commerce อย่างจริงจัง ซึ่งแพลตฟอร์มที่ทำให้เรื่องนี้เกิดก็หนีไม่พ้น TikTok อีกนั่นแหละ
พูดถึงการใช้ AR ในมือถือที่คนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z และ Alpha เล่นกันเป็นปกติ แบรนด์ต่างๆ ต้องรู้จักทำ AR Marketing ให้เป็น จะมาส่องโลโก้เพื่อดูสินค้าแบบที่เคยทำกันเมื่อ 5 ปีก่อนบอกเลยว่าเสียเวลา สมัยนี้ต้องทำ AR Filter ให้คนได้เล่นมากกว่าลอง ให้คนได้สนุกไปกับแบรนด์ หรือจะเรียกว่าเป็น AR for Branding ก็ได้ครับ
อีกเรื่องที่หนังสือการตลาด Marketing 6.0 เล่มนี้พูดถึงเยอะมากก็คือเกม Game become New Social Media for Gen Z and Alpha หรือที่เรานักการตลาด Gen Y และ X ชอบเรียกสิ่งนี้ว่า Metaverse นั่นเอง
และใน Marketing 6.0 ก็ยังมีการพูดถึงการทำ O2O Marketing หรือ Omnichannel Marketing อย่างจริงจัง ซึ่งสำหรับผมก็คือการทำ Customer Data Platform ที่ต้องผ่านการทำ Customer Data Integration เป็นอย่างดี จะมาใช้แค่ Transaction Data หรือ Loyalty Card Data นั้นไม่เพียงพอแล้วสำหรับการตลาดนับจากนี้ไป
นี่แหละครับภาพของการตลาดยุคใหม่ ยุคที่เราใช้ Data & AI Driven Marketing จริงๆ ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการ Integration Customer Data จากทุกช่องทางเข้าด้วยกันให้กลายเป็น One Data จากนั้นก็ใช้ AI มาช่วยวิเคราะห์จัดการ บวกกับใช้การตลาดแบบวางแผนล่วงหน้า Algorithm Marketing มาช่วยให้นักการตลาดสามารถทำ Hyper Personalized Marketing ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
นักการตลาดยุค 6.0 นับจากนี้ไปจะมีความเป็น Scientist มากกว่า Artist ครับ
สรุปหนังสือการตลาด Marketing 6.0 The Future is Immersive – Philip Kotler
อย่างที่บอกว่าหนังสือเล่มนี้จะพูดถึงแค่ผู้บริโภค Gen Z กับ Alpha เท่านั้น แทบจะไม่พูดถึง Gen Y กับ Gen X อีกต่อไป ใครอยู่ในสองเจนหลังแบบผม ขอแสดงความเสียใจด้วย คุณคือผู้บริโภคที่ตกรุ่นแล้วครับ 555
หนังสือเล่มนี้บอกว่า Gen Z กับ Alpha มีความบ้าคลั่งนิยมใน TikTok หรือ Short-Form Video อย่างมาก แถมพวกเขาก็ไม่ค่อยเสิร์จหาอะไรใน Google แบบคน Gen Y หรือ X อีกแล้ว แต่หันไปใช้ TikTok Search หรือเสิร์จดูเป็นคลิปใน TikTok กันมากกว่า
พวกเขายังยินดีให้ข้อมูลส่วนตัวแบบไม่หวง ถ้าแบรนด์บอกได้ว่าให้แล้วพวกเขาจะได้อะไร Customer Experience จะดีขึ้นไหม พวกเขายังคงเป็น Gen ที่คุ้นเคยกับการใช้ Voice Assistant หรือ AI อย่างมาก บางคนเกิดมาก็คุยกับพวก Alexa หรือ Siri เป็นประจำ รู้ว่าจะคุยกับ AI แบบไหน และไม่กลัวที่จะคุยเล่นกับ AI ผิดกับคน Gen ก่อนๆ ครับ
ส่วนการใช้ ChatGPT ของคนกลุ่มนี้กลายเป็นเรื่องปกติ เพราะจากที่ผมใช้ Social Listening ทำ Data Research มาว่าคนไทยใช้ ChatGPT ทำอะไรบ้าง พบว่าใช้กับการเรียนเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะทำการบ้านหรือรายงานใดๆ เรียกได้ว่า ChatGPT กลายเป็น Search Engine 2.0 ที่ไม่ต้องอ่านลิงก์บทความแรกๆ แล้วสรุปเอง แต่ให้ ChatGPT ไปสรุปมาให้แล้วคิดต่อว่าจะลอกตามนั้นเลย หรือจะ Adapt ต่อยอดอย่างไรครับ
ดังนั้นบอกให้รู้ว่าจากเดิมเราใช้คำว่า Digital Native กับ Gen Y และ Gen Z ใน Marketing 5.0 แต่ดูเหมือนใน Marketing 6.0 นั้นจะกลายเป็นคำว่า AI Native กับ Gen Z และ Alpha ไปเสียแล้ว
แต่ความน่าสนใจอย่างหนึ่งแม้พวกเขาจะเป็น Digital & AI Native แต่เมื่อสอบถามว่าพวกเขาชอบซื้อของหรือช้อปปิ้งแบบไหน กลายเป็นชอบซื้อสินค้าทางออฟไลน์มากกว่า เพราะพวกเขาต้องการ Experience ที่ดีใรการช้อปปิ้ง ชอบที่จะออกไปเจอเพื่อนๆ แทนที่จะอุดอู้อยู่แต่ในหน้าจอ
ความน่าสนใจอีกอย่างของ Gen Z และ Alpha คือพวกเขาเป็นเด็กที่มีความคิดแบบผู้ใหญ่ไว ด้วยการที่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารทุกอย่างที่อยากรู้ได้ผ่านหน้าจอมือถือของตัวเอง หรือของพ่อแม่ ส่งผลให้พวกเขามีพัฒนาการทางความคิดที่ไวขึ้น อยากเป็นผู้ใหญ่ไวขึ้น อยากเป็นวัยรุ่นเร็วขึ้น ส่งผลให้เกิดคำว่า KGOY ที่ย่อมจาก Kids Getting Older Younger
กลุ่มเครื่องสำอางที่ขายได้ดีกับ Gen Z และ Alpha จะเป็นมู้ดไม่เน้นความปรุงแต่งสวยงามเกินจริง แต่จะเน้นลุคที่ดูธรรมดา ดูเรียลให้มากที่สุดครับ
ส่วนสไตล์ Content ที่พวกเขาชอบก็คือคอนเทนต์ประเภท No Filter เน้นความ Real มากขึ้น แต่ก็เน้นการแชร์กับกลุ่ม Close Group มากกว่า จนทำให้เกิดโซเชียลมีเดียใหม่ๆ อย่าง BeReal ที่เป็นที่รู้จักเฉพาะกลุ่ม Gen Z ในวัยมหาวิทยาลัยกับมัธยม
ที่สำคัญต้องจำไว้ว่าแม้พวกเขาจะมี Account Social Media ทุกแพลตฟอร์ม แต่ก็ใช่ว่าจะเล่นทุกอันเหมือนกันหมด เพราะแต่ละแพลตฟอร์มก็จะมีบริบทของตัวเอง นักการตลาดห้ามพลาดที่จะทำการตลาดแบบเดียวเหมือนกันหมดอีกต่อไป ไม่อย่างนั้นเท่ากับเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำแน่นอน
Apple เองก็เป็นแบรนด์ตัวอย่างที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง Experience Marketing ได้เป็นอย่างดี Steve Jobs เองใส่ในรายละเอียดทั้งในสินค้าและร้านค้าของเขา รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างการปรับหน้าจอ Macbook ในร้าน Apple Store ทั้งหมดให้ทำมุม 70 องศาพอดีเหมือนกันทุกเครื่อง
และเมื่อคุณตัดสินใจจะเป็นเจ้าของสินค้าใน Apple Store สักชิ้นก็จะพบ Experience การซื้อที่ไม่เหมือนกับร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ใดๆ มาก่อน เพราะถ้าเป็นร้านอื่น คุณต้องเดินตามพนักงานไปยังจุดจ่ายเงิน แต่ที่ Apple Store เองพนักงานจะเอาเครื่องสแกนบัตรเครดิตมาให้คุณ คุณไม่ต้องไปไหน แค่อยู่ตรงจุดที่คุณยืนอยู่ตรงนั้น แล้วพนักงานก็จะถือเครื่องใหม่ในกล่องมาให้คุณถึงมือ
นี่คือรายละเอียดของการทำ Customer Experience ที่สุดยอดของ Apple เรียกได้ว่ามันคือการทำให้ประสบการณ์ลูกค้าไม่สะดุด ทุกอย่างราบรื่นดุจปูพรมแดง แต่เบื้องหลังนั้นต้องผ่านการทำ Service Design Blueprint ที่ละเอียดยิบแบบสุดๆ พร้อมกับการกำหนด SLA ที่พนักงานต้องปฏิบัติตามให้เป๊ะอย่างเข้มงวดมากๆ
Combining Physical and Digital Experience เชื่อมต่อประสบการณ์ลูกค้าด้วย O2O Customer Data Platform
จากภาพบอกให้รู้ว่าเราก้าวเข้าสู่ยุคการตลาดแบบใช้ Customer Data Driven Marketing เต็มตัวแล้ว เพราะจากนี้ไปลูกค้าจะคาดหวัง Experience ที่ดีกว่าอยู่เสมอ ทั้งดีกว่าคู่แข่งที่ใกล้เคียงกัน และดีกว่าที่เราทำให้ลูกค้าไปเมื่อวานนี้ ดังนั้นการจะต้องมี Customer Data Platform ที่ Integrated Customer Data จากหลากหลายช่องทางเข้าด้วยกันได้จึงสำคัญมาก
และที่สำคัญกว่านั้นคือต้องทำ Physical and Digital Data เข้าด้วยกันให้ได้ เพื่อจะได้เห็นภาพ Customer ที่แท้จริง หรือผมขอเรียกว่าเป็น One Data ครับ
AI & Employees Collaboration งานแบบไหนใช้แค่ AI และงานแบบไหนที่ต้องใช้ AI เข้ามาช่วยคน
เวลาใครบอกว่า AI จะเข้ามาแย่งงานคนผมเห็นด้วยแค่ส่วนหนึ่ง เพราะแท้จริงแล้ว AI ไม่ได้เข้ามาแย่งงานคน แต่ AI จะเข้ามาช่วยคนที่อยากทำงานได้ดี ให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพดีง่ายขึ้น
ในหนังสือเล่มนี้มีการแบ่งระดับของงานที่สามารถเอา AI เข้ามาทำแทนได้ งานประเภทง่ายๆ น่าเบื่อๆ ซ้ำๆ ซากๆ อย่างงานคิดเงินในร้านค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ที่ Amazon Go ก็ใช้ AI เข้ามาทำหน้าที่ในส่วนนี้แทนคนทั้งหมด ส่วนพนักงานแบบคนก็มีอยู่เพื่อเติมสินค้า หรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของลูกค้า
แต่ผมว่าการเติมสินค้านี่ก็สามารถใช้ AI ช่วยได้ ถ้าออกแบบร้านใหม่ให้เป็นระบบ RPA คอยเติมสินค้าอยู่ด้านหลังเรื่อย ครับ
ส่วนงานประเภทที่ต้องใช้ AI ช่วยถึงจะดี อย่างงานนักวิเคราะห์ หรือผู้ดูแลบริหารการเงินลูกค้าชั้นดีที่เรียกว่า Wealth Management จากเดิมพนักงานต้องมานั่งเปิดข้อมูลลูกค้ามากมายแล้ววิเคราะห์เองว่าจะแนะนำให้ลูกค้าลงทุนแบบไหน อย่างไร มาวันนี้ก็สามารถใช้ AI เข้ามาช่วยดึงและสรุปข้อมูลให้ ส่วนเจ้าหน้าที่ RM ก็ทำหน้าที่สรุปข้อมูลขั้นสุดท้ายก่อนจะนำไปสู่การแนะนำว่าลูกค้าคนนี้เหมาะกับการลงทุนแบบไหนครับ
ธุรกิจที่เริ่มลดการใช้คนที่ไม่จำเป็นลงไปก็อย่างการขายรถยนต์ จากเดิมต้องไปที่โชว์รูมเพื่อขอลองขับรถ Test Drive แต่กับ Tesla นั้นไม่ ในอเมริกาคุณสามารถติดต่อขอจองคิว Test Drive ผ่านเว็บ จากนั้นเมื่อถึงหน้ารถก็โทรบอกพนักงานที่อยู่ตรงไหนสักที่ แล้วพนักงานจะปลดล็อคให้คุณลองขับตามสบายในเส้นทางที่กำหนด ในระยะเวลาที่กำหนด โดยไม่ต้องมีพนักงานไปนั่งด้วยให้วุ่นวายหรืออึดอัดใจ ขับเสร็จก็เอามาจอดที่เดิม แล้วพนักงานก็จะสั่งล็อครถผ่านระบบ
ถ้าถามว่าไม่กลับถูกขโมยรถหรอ ไม่เลยครับ เพราะ Tesla สามารถสั่งล็อครถจากทางไกลได้ สามารถเปิดดูกล้องในรถตลอดเวลาได้ ก็ตามหาได้ไม่ยากว่าขโมยเป็นใคร แต่ที่สำคัญคือขโมยไปไม่ได้นี่ซิ ถัดมาคือต่อให้ขับรถออกไปนอกเส้นทาง ก็สามารถตามกลับได้ ดีไม่ดีอีกหน่อยให้รถวิ่งกลับมาเอง อย่าลืมว่า Tesla มีระบบ Autopilot หรือ Full Self Driving ที่สามารถขับรถให้เราเองได้จนเราแทบไม่ต้องขับเองแล้ว
ส่วนการซื้อรถ Tesla ก็ทำผ่านเว็บ จองผ่านเว็บ ตัดเงินผ่านเว็บ เรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติธุรกิจรถยนต์ที่แท้จริง ขนาดการจะซ่อมบำรุงรถก็ไม่ต้องขับไปที่ศูนย์ พนักงานจะประเมินผ่านระบบก่อนว่ารถเราต้องเข้าศูนย์ไหม ถ้าไม่หนักมากก็จะมีพนักงานขับรถ Tesla ไป Service ให้คุณถึงบ้าน หรืออาจจะออฟฟิศ หรือที่ไหนก็ได้ที่คุณสะดวกครับ
Experience Become Product คนจะยอมจ่ายมากขึ้นเพื่อซื้อประสบการณ์ที่ดี
เปรียบเทียบกับธุรกิจโรงแรม ทุกวันนี้จะมีโรงแรมอยู่สองกลุ่มหลักๆ คือถูกมากอย่าง Airbnb ที่ใช้ระบบอัตโนมัติเป็นหลัก ในญี่ปุ่นโรงแรม Airbnb ก็แทบไม่มีพนักงานดูแลเลย หรือแม้แต่โรงแรมใหม่ๆ ก็ตาม ลูกค้าสามารถใช้ระบบสแกนใบหน้าที่ลงทะเบียนไว้ล่วงหน้าในการรับกุญแจห้อง หรืออาจจะส่งมาเป็นรหัส Digital Door Lock ตรงให้เราแทน เมื่อเราเช็คเอาท์เมื่อไหร่รหัสนั้นก็จะไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป
ส่วนโรงแรมหรูก็จะเน้นการดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด ในแบบที่ระบบอัตโนมัติให้ไม่ได้ ไม่ว่าจะโรงแรมในเครือ Four Season หรือ The Ritz-Carlton ก็ตาม ดังนั้นจำไว้ว่าการตลาด 6.0 นับจากนี้ไป ต้องเลือกระหว่างจะใช้ Machine หรือ AI เป็นหลัก หรือจะเน้นคนเป็นหลัก แล้วก็เอา Machine กับ AI มาช่วยให้คนหน้างานดูแลลูกค้าได้ดีแบบไร้ที่ติแทน
ไม่ต้องพูดถึง Alibaba ของ Jack Ma ที่ก็หันมาเปิดร้านค้าออฟไลน์เพิ่มเติมเช่นกัน สิ่งนี้สอดคล้องกับเทรนด์ของผู้บริโภคหลักในเล่มนี้ นั่นก็คือ Gen Z และ Alpha ที่บอกว่าชอบการซื้อของทางออฟไลน์มากกว่าออนไลน์ครับ
ยุคผู้บริโภคขี้เหงาและเศร้าง่าย Gen Z และ Alpha
ในหนังสือการตลาด 6.0 บอกให้รู้ว่า Gen Z และ Alpha นั้นคือกลุ่มคนที่รู้สึกเหงาโดดเดี่ยวมากที่สุด มีปัญหาเรื่องสุขภาพจิตใจมากกว่าคนเจนอื่นที่ผ่านมา และถึงขั้นเป็นวิตกกังวลกับอนาคตอย่างมาก ส่วนหนึ่งผมคิดว่าเป็นเพราะพวกเขาโตมาในช่วงล็อกดาวน์จากโควิด19 ช่วงที่ควรต้องได้ออกไปเจอโลกกว้าง เจอเพื่อนใหม่เยอะๆ วัยรุ่นหลายคนก็เข้ามหาลัยในช่วงนั้น ทำเอาไม่ได้มีความสัมพันธ์กับเพื่อนมากเท่าไหร่
Web3 Marketing กับมุมมองต่อ Metaverse ของ Philip Kotler
แต่อีกหนึ่งความน่าสนใจของ Metaverse Marketing ในเล่มนี้จะเน้นไปที่เรื่องของ Game มากกว่า Game ที่ไม่ใช่แค่ Esport สายเล่นเกมจริงจัง แต่เป็นเกมง่ายๆ ทั่วไปที่คนรุ่นใหม่หลายร้อยล้านคนทั่วโลกนิยมเล่นกัน อย่าง Roblox, Minecraft, Fortnite และอื่นๆ นี่ดูเหมือนจะเป็นโซเชียลมีเดียยุคถัดไปของ Gen Z และ Alpha
มองอีกมุมเกมก็คือโซเชียลมีเดียรูปแบบหนึ่ง ที่นอกจากจะคุยกับเพื่อนได้ ยังมีอะไรให้ทำมากกว่าแค่โพสอวดชีวิตไปมาในแต่ละวัน หรือส่วนตัวผมมองว่า Social Media 2.0 ที่ไม่ใช่อย่างทุกวันนี้ที่เราคุ้นเคยกัน จะเป็น Social Media ในรูปแบบเกมที่ใช้ชีวิตประจำวันเป็นตัวเล่น คล้ายๆ กับ Pokemon Go แต่จะมีความแมสกว่านั้น
ผมคิดถึงภาพเกมแบบมาริโอ ที่คนเราต้องเดินทางไปไหนมาไหนอยู่แล้ว แต่ทำให้การเดินที่น่าเบื่อนั้นสนุกขึ้น ได้เหรียญจากการเดินเก็บตามทางต่างๆ และระหว่างทางก็อาจจะมี Quest ให้ทำสนุกๆ กับเพื่อนหรือคนแปลกหน้า บวกกับยังสามารถอัปเดทชีวิตประจำวันทั่วไปได้ หรือจะเรียกว่าเป็น Social Game ก็ได้มั้งครับ
และจากจุดนี้ทำให้ผมคิดว่าหรือแบรนด์ควรจะหันมาทำเกมอย่างจริงจัง เพื่อสร้างทั้ง Brand Experience ที่ดีกับคนรุ่นใหม่ บวกกับได้กลายเป็นสื่อโฆษณาชั้นดีที่ทำให้คนจดจำแบรนด์เราได้จนกลายเป็น Top of Mind
คิดถึงสมัยก่อนที่มีเกม Pepsi Man ออกมาให้เล่นบนเครื่อง Play Station แม้จะบอกไม่ได้ว่าคนซื้อ Pepsi หลังเล่นเกมมั้ย แต่ที่แน่ๆ คือคนเห็นแบรนด์ยาวเป็นชั่วโมงๆ โดยไม่เบื่อครับ
หรือถ้าย้อนกลับไปที่คอนเซป Social Game ที่ผมพูดก่อนหน้า มันคงจะดีขึ้นถ้าเกมจากนี้ไป เราสามารถซื้อไอเท็มเติมพลังในเกมและได้สินค้าจริงควบคู่กัน เช่น จากเดิมการจะเติมพลังต้องใช้ Heart Portion แบบต่างๆ ถ้าได้ Pepsi มาเป็นสปอนเซอร์ก็อาจจะเปลี่ยนเป็นเติมพลังในเกมด้วย Pepsi แทน แล้วก็มีแพคเกจอีกราคาให้เลือกว่าจะสั่ง Pepsi 1 แพคไปส่งที่บ้านด้วยหรือไม่
ถ้าเอาก็กดซื้อ แล้วเกมก็จะส่ง Pepsi ไปให้ตามที่อยู่ที่ให้ไว ถ้าเกมทำได้แบบนี้ก็คงจะก่อให้เกิด Game Commerce การซื้อขายรูปแบบใหม่ขึ้นมาไม่น้อย