ในวันที่ธุรกิจบริการมีคู่แข่งมากขึ้นทุกวัน ร้านซักรีดเองก็ไม่ต่างกัน หลายร้านอาจเผชิญกับคำถามในใจว่า ทำไมลูกค้าหลายคนมาใช้บริการครั้งเดียวแล้วหาย? จะให้โปรโมชันกับใครดีถึงจะคุ้ม? หรือ จะรักษาลูกค้าประจำไว้ยังไงดี? หนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ลูกค้าที่ตอบโจทย์ร้านซักรีดได้แบบไม่ต้องใช้ระบบซับซ้อน คือ RFM Model เครื่องมือนี้ช่วยให้เรารู้จักลูกค้า อย่างเป็นระบบ จากพฤติกรรมการใช้บริการที่เรามีอยู่แล้วค่ะ บทความนี้ชวนมาดูกลยุทธ์ RFM MODEL ร้านซักรีด เข้าใจลูกค้า สร้างบริการให้โดนใจมากขึ้นค่ะ
รู้จัก RFM MODEL เครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าที่ใช้ได้กับทุกธุรกิจ
ในโลกของการตลาดยุคใหม่ การรู้ว่าลูกค้า เคยซื้ออะไร ไม่เพียงพออีกต่อไป สิ่งที่ธุรกิจต้องการคือการเข้าใจว่า ลูกค้าคนไหนมีโอกาสกลับมาอีก และ ใครคือคนที่คุ้มค่าที่จะรักษาไว้ นั่นจึงทำให้โมเดล RFM กลายเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าผ่านข้อมูลที่มีอยู่แล้วค่ะ เช่น ประวัติการซื้อหรือการใช้บริการ
RFM MODEL เป็นโมเดลที่ประกอบด้วย 3 มิติหลักค่ะ
Recency (R) ลูกค้ามาใช้บริการครั้งล่าสุดเมื่อไหร่
Frequency (F) ลูกค้ามาใช้บริการบ่อยแค่ไหน
Monetary (M) ลูกค้าใช้จ่ายกับเรารวมเท่าไร
โดยแนวคิดหลักคือ ลูกค้าที่มาไม่นานนี้ (R สูง), มาเป็นประจำ (F สูง), และใช้จ่ายสูง (M สูง) มักจะเป็นกลุ่มลูกค้าคุณภาพที่ควรดูแลให้ดี เมื่อเราให้คะแนนแต่ละมิติ แล้วรวมกัน เราจะสามารถ “แบ่งกลุ่มลูกค้า” ออกมาได้ เช่น VIP, ขาประจำ, ลูกค้าใหม่, หรือกลุ่มที่ใกล้จะหายไป ซึ่งสามารถนำไปวางกลยุทธ์ได้แบบเฉพาะเจาะจงได้ค่ะ
สุดท้ายแล้วพอเรานำ RFM Score มาคำนวณและจัด Segmentation ตามกราฟก็จะได้ตัวอย่างประมาณนี้ สามารถเข้าไปอ่าน RFM MODEL โดยละเอียดที่นี่ ได้เลยค่ะ
ข้อดีของ RFM คือใช้ข้อมูลที่เรามีอยู่แล้ว โดยไม่ต้องใช้ระบบที่ซับซ้อน ไม่ต้องมีทีม Data Analyst ก็สามารถเริ่มต้นได้ด้วย Excel หรือ Google Sheets เพียงแค่เราเข้าใจหลักการและมีระบบจดบันทึกที่สม่ำเสมอ ก็สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้าให้กลายเป็นแผนการตลาดที่ใช้งานได้จริงทันทีค่ะ และสามารถปรับขนาดขอบเขตของแต่ละ Segmentation ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละธุรกิจได้เลยค่ะ
บริการในร้านซักรีด ข้อมูลพื้นฐานที่ใช้ทำ RFM MODEL ร้านซักรีด ได้ทันที
สำหรับร้านซักรีดทั่วไป เราขอยกตัวอย่างการบริการและราคาประมาณนี้ค่ะ
จากตัวอย่างนี้ หากลูกค้าคนหนึ่งซักผ้า 5–10 ชิ้นต่อสัปดาห์ ก็อาจมียอดสะสมเดือนละหลายร้อยถึงหลักพันบาท ซึ่งเพียงพอที่จะนำมาวิเคราะห์และจัดกลุ่ม RFM ได้ เพราะการใช้ RFM สำหรับร้านซักรีด ไม่ได้ยากอย่างที่คิด คุณไม่จำเป็นต้องมีระบบ CRM แพง ๆ หรือทีม Data อะไรเลยค่ะ แค่เริ่มจากสิ่งง่าย ๆ
ตัวอย่างข้อมูลในร้านซักรีด ข้อมูลลูกค้าที่มีอยู่แล้ว
จากข้อมูลข้างต้น เราจะเห็นได้ชัดว่าลูกค้าแต่ละคนมี “คุณค่าทางธุรกิจ” ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งในแง่ของความถี่ในการใช้บริการ (Frequency), ความใหม่ของการใช้งาน (Recency) และยอดใช้จ่ายรวม (Monetary) ซึ่งเป็นหัวใจหลักของ RFM ค่ะ
คุณเจน คือภาพของลูกค้าที่มี R, F, และ M สูง เธอเพิ่งมาใช้บริการเมื่อวาน ใช้บริการรวม 12 ครั้ง และมียอดรวมถึง 3,000 บาท ลูกค้าแบบนี้ควรได้รับสิทธิพิเศษ เช่น ส่วนลดเฉพาะสมาชิก หรือซักฟรี 1 ครั้งหลังครบจำนวนสะสม เพื่อรักษาความภักดี
คุณต้น เคยใช้บริการมาแล้ว 3 ครั้ง แต่ไม่ได้มาอีกเลยตั้งแต่กุมภาพันธ์ ซึ่งแปลว่า R ต่ำ แต่ F และ M ยังพอมีความถี่ การสื่อสารกับลูกค้ากลุ่มนี้ควรเน้นกระตุ้นให้กลับมาค่ะ เช่น ข้อความ LINE ส่วนตัวว่า “เราคิดถึงคุณ” พร้อมแนบโปรโมชันเล็กน้อยเพื่อเรียกความสนใจค่ะ
คุณเอ เป็นลูกค้าใหม่ที่เพิ่งลองใช้บริการครั้งแรก แม้ยอดไม่สูง แต่ถือเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับร้าน ถ้าประสบการณ์ครั้งแรกของเขาดีพอ ก็มีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นลูกค้าประจำ วิธีง่าย ๆ เช่น ส่งข้อความขอบคุณ + คูปองลด 10% สำหรับครั้งหน้า อาจสร้างความประทับใจในระยะยาวได้ค่ะ
นี่เป็นการวิเคราะห์คร่าว ๆ ต่อไปเราจะลองมาใช้ RFM MODEL วิเคราะห์แบบลง Details ในแต่ละค่ากันค่ะ
แบ่งกลุ่มลูกค้าและกลยุทธ์ด้วย RFM
ค่า R (Recency) ลูกค้ามาใช้บริการล่าสุดเมื่อไหร่ สำคัญกว่าที่คิด
ในการประยุกต์ใช้ RFM กับร้านซักรีด การกำหนดค่า R หรือ Recency คือการดูว่า ลูกค้าแต่ละคนมาใช้บริการล่าสุดเมื่อไหร่ ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานที่หลายร้านมีอยู่แล้ว แต่ยังไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางการตลาด
เพราะความแตกต่างระหว่างลูกค้าที่เพิ่งมาใช้บริการเมื่อวาน กับลูกค้าที่หายหน้าไป 2 เดือน ย่อมต้องการวิธีการดูแลและสื่อสารที่ไม่เหมือนกันเลย บางคนพร้อมซื้อซ้ำทันที แต่อีกคนอาจลืมไปแล้วว่าเคยซักร้านเรา
จากภาพรวมด้านบน เราสามารถตีความแต่ละกลุ่มได้แบบนี้
กลุ่ม R5 (1–7 วัน) คือกลุ่มลูกค้าขาประจำที่เพิ่งมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ บางคนอาจซักผ้าทุกสัปดาห์แบบเป็นกิจวัตร เช่น ทุกวันเสาร์ ถ้าเราเสริมสิทธิพิเศษอย่าง “ครบ 3 ครั้งในเดือนนี้ รับรีดฟรี 1 ชิ้น” ก็จะยิ่งกระตุ้นให้เขากลับมาใช้บริการถี่ขึ้น และรู้สึกผูกพันกับร้านมากขึ้น
กลุ่ม R4 (8–14 วัน) เป็นลูกค้าประจำที่เริ่มห่างหาย อาจติดภารกิจหรือเลื่อนเวลาซักออกไป เราอาจใช้ข้อความใน LINE เช่น “คิดถึงกลิ่นหอมจากร้านเราไหม? รับส่วนลด 15% สำหรับคุณในสัปดาห์นี้” เพื่อกระตุ้นให้กลับมาก่อนที่เขาจะหายไปนาน
กลุ่ม R3 (15–30 วัน) คือกลุ่มที่ยังไม่หายไป แต่ความถี่ลดลง เช่น ลูกค้าที่ชอบซักผ้านวมต้นเดือน กลยุทธ์ที่เหมาะคือ “ส่งโปรสิ้นเดือน ลดพิเศษเฉพาะคุณ” เพื่อเตือนเขาว่า ถึงเวลาซักผ้าอีกแล้วนะ
กลุ่ม R2 (31–60 วัน) เริ่มเงียบและอาจหันไปใช้ร้านอื่น หากเราดึงดูดด้วยภาพ “บริการที่เขาเคยชอบ” หรือแคมเปญเฉพาะ เช่น “ซักครบ 3 คน กลุ่มเพื่อน ลด 10%” ก็มีโอกาสสูงที่เขาจะกลับมาเพราะรู้สึกว่าเรายังนึกถึงเขาอยู่
กลุ่ม R1 (61–90 วัน) เป็นกลุ่มที่เงียบหายและเสี่ยง “หายถาวร” แล้ว วิธีที่เหมาะคือการ ยื่นข้อเสนอสุดท้าย ที่แตกต่างจากปกติ เช่น “เราคิดถึงคุณ! กลับมาครั้งนี้ลด 20% ทันที” พร้อมให้ระยะเวลาใช้โปรสั้น เพื่อกระตุ้นให้รีบตัดสินใจ
สรุป ค่า R คือดัชนีความใกล้ชิดที่ร้านไม่ควรมองข้าม R หรือ Recency ไม่ได้เป็นแค่ “วันที่ลูกค้าเคยมาครั้งล่าสุด” แต่มันคือ ตัวบอกระยะห่างของความสัมพันธ์ระหว่างร้านกับลูกค้า การรู้ว่าใครยังอยู่ในวงโคจร ใครกำลังจะหลุด และใครที่อาจไม่กลับมาอีก ช่วยให้เราวางแผนได้แม่นยำขึ้นค่ะ แทนที่จะส่งโปรให้ทุกคนแบบหว่านแห ลองเริ่มจากการดู “ค่า R” แล้วเลือกคนที่ยังมีโอกาสกลับมา จะทำให้การตลาดของคุณ คุ้มค่า ลงทุนได้ถูกคน และรักษาลูกค้าไว้ได้มากขึ้นค่ะ
ค่า F (Frequency) ลูกค้าใช้บริการบ่อยแค่ไหน บอกถึงความผูกพัน
หลังจากเรารู้แล้วว่าลูกค้า “ห่างหายไปนานแค่ไหน” ผ่านค่า R ต่อมาเราควรดูว่า “เขาเคยมาใช้บริการบ่อยแค่ไหน” หรือที่เรียกว่า ค่า F (Frequency) ในบริบทของร้านซักรีด ค่า F คือจำนวนครั้งที่ลูกค้ามาใช้บริการภายในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งค่ะ ซึ่งในกรณีนี้ เราจะใช้ ช่วงเวลา 90 วันล่าสุด (3 เดือน) เพื่อดูว่าใครมาใช้บริการเป็นประจำ และใครแวะมานิดเดียวแล้วหายไป
การรู้ว่าใคร “ใช้ถี่” หรือ “แค่ทดลอง” จะช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่า ใครเหมาะกับโปรสะสมแต้ม ใครควรส่งแบบสอบถามความพึงพอใจ และใครควรได้รับโปร Welcome กลับมาอีกครั้งค่ะ
จากภาพรวมด้านบน เราสามารถตีความแต่ละกลุ่มได้แบบนี้
กลุ่ม F5 (≥10 ครั้ง) คือลูกค้าทองคำของร้านซักรีด ใช้บริการแทบทุกสัปดาห์ เช่น คนทำงานออฟฟิศที่ส่งซักเสื้อเชิ้ตประจำ การดูแลที่เหมาะสมคือ “บัตร VIP”, “ของขวัญประจำเดือน” หรือ “ซักฟรี 1 ครั้งทุก ๆ 10 ครั้ง” เพื่อให้เขารู้สึกว่าเป็นคนพิเศษที่ร้านให้ความสำคัญค่ะ
กลุ่ม F4 (6–9 ครั้ง) กลุ่มนี้ใช้บริการสม่ำเสมอ เช่น ทุก 10 วัน หรือสัปดาห์เว้นสัปดาห์ มีแนวโน้มจะอัปเกรดเป็น F5 ได้ถ้าได้รับแรงจูงใจ ลองเสนอ “ใช้ครบ 1,000 บาทในเดือนนี้ รับรีดฟรี 3 ชิ้น” เพื่อกระตุ้นการใช้งานต่อเนื่องค่ะ
กลุ่ม F3 (3–5 ครั้ง) ลูกค้ากลุ่มนี้ใช้บริการทุกเดือน หรือมาช่วงโปร เช่น สิ้นเดือนหรือก่อนหยุดยาว กลยุทธ์คือการ “วางโปรประจำเดือน” เช่น ลดค่าซักผ้านวม หรือฟรีบริการรีดเมื่อซักเกิน 5 ชิ้น เพื่อดึงให้ใช้ถี่ขึ้นค่ะ
กลุ่ม F2 (2 ครั้ง) พวกเขาอาจลองใช้แล้วกลับมาอีกครั้ง เพราะรู้สึกโอเค แต่ยังไม่ถึงขั้นติด การสื่อสารที่ดีที่สุดคือ “ถามความรู้สึก” ผ่านแบบสอบถาม LINE และส่งโปรเบา ๆ เช่น “ถ้าคุณยังชอบ ลองใช้บริการใหม่ดูนะ” พร้อมส่วนลดค่ะ
กลุ่ม F1 (1 ครั้ง) คือกลุ่มที่เพิ่งลองใช้ร้านครั้งแรก ยังไม่รู้สึกผูกพัน กลยุทธ์คือ “โปร Welcome ครั้งถัดไป” เช่น ลด 50%, ซัก 5 แถม 1 หรือเชิญชวนสะสมแต้ม โดยเน้นให้รู้ว่าร้านนี้มีอะไรรออยู่อีกมากค่ะ
สรุป Frequency สะท้อน “นิสัย” ของลูกค้า ค่า F คือกระจกสะท้อน พฤติกรรมความถี่ของลูกค้า และช่วยให้เรารู้ว่าใครคือ ลูกค้าประจำตัวจริง ใครคือลูกค้าชั่วคราว และใครคือคนที่อาจเป็นลูกค้าดีในอนาคต เมื่อใช้ร่วมกับ Recency (R) ก็จะเริ่มเห็น “ภาพรวมความสัมพันธ์” ระหว่างลูกค้าแต่ละรายกับร้านของคุณ ช่วยให้เราให้สิทธิพิเศษได้ถูกคน และวางแผนการตลาดได้อย่างประหยัดและแม่นยำค่ะ
ค่า M (Monetary) ลูกค้าใช้จ่ายมากแค่ไหน ก็บอกถึง “มูลค่าที่แท้จริง”
แม้ว่าลูกค้าจะมาใช้บริการบ่อย (F สูง) หรือเพิ่งมาหมาด ๆ (R สูง) แต่ถ้าแต่ละครั้งจ่ายน้อยมาก ก็อาจไม่ใช่ลูกค้าที่ “สร้างรายได้จริง” ให้กับร้าน ในขณะที่บางคนมาทีเดียว แต่ซักผ้านวม 3 ผืน + ชุดสูท 2 ตัว รวมเกือบพันบาท ก็จะกลายเป็นลูกค้าระดับ M สูงทันทีค่ะ
ค่า M หรือ Monetary คือ ยอดใช้จ่ายรวมของลูกค้าในช่วง 90 วันล่าสุด เหมาะกับการใช้ดูว่าใครคือ “คนที่ทำให้ยอดขายโต” และใครคือ “กลุ่มทดลองใช้” เพื่อออกแบบข้อเสนอให้สอดคล้องกับกำลังซื้อค่ะ
กลุ่ม M5 (มากกว่า 1,500 บาท): ลูกค้าระดับ VIP มักใช้บริการราคาสูง เช่น ซักแห้ง, ชุดพรีเมียม, ผ้านวม หรือใช้บริการรับ-ส่งเป็นประจำ ร้านควรมี “บัตรสมาชิกพิเศษ”, สิทธิรีดฟรีรายเดือน หรือของขวัญในวันเกิด เพื่อรักษาความภักดี
กลุ่ม M4 (1,001–1,500 บาท): กลุ่มที่เริ่มมีศักยภาพมากขึ้น อาจเพิ่งย้ายมาอยู่ใกล้ร้านหรือเริ่มใช้บริการหลายประเภท กลยุทธ์คือ “เสนอแพ็กเกจผสมหลายบริการ”, “รีดฟรีเมื่อครบยอด”, หรือแนะนำบริการใหม่ เช่น ซักแห้งที่เขายังไม่เคยใช้
กลุ่ม M3 (501–1,000 บาท): ใช้บริการสม่ำเสมอในระดับกลาง เช่น ซักผ้าทุกสัปดาห์แต่ยังไม่ถึงขั้น VIP สามารถกระตุ้นให้ขยับระดับด้วย “สะสมยอดครบ แถมซักฟรี” หรือ “แพ็กเกจชุดทำงาน 5 ตัว ราคาพิเศษ”
กลุ่ม M2 (201–500 บาท): มักใช้บริการเฉพาะบางช่วง เช่น ซักผ้าห่มเดือนละครั้ง หรือซักชุดทำงานเฉพาะวันที่ต้องพรีเซนต์ กลยุทธ์คือ “แพ็กเกจสุดคุ้ม” ที่รวมซัก + รีด หรือการส่งโปร “แถมรีดฟรี” เพื่อเพิ่มความรู้สึกคุ้มค่า
กลุ่ม M1 (ไม่เกิน 200 บาท): คือกลุ่มทดลองใช้ เช่น ลูกค้าใหม่ที่เพิ่งซักชุดเดียว หรือคนที่แค่ลองใช้บริการ กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือ “โปรต้อนรับ” เช่น “ชุดเริ่มต้น 99 บาท”, “ซัก 3 ฟรีรีด 1” หรือข้อความขอบคุณพร้อมแนะนำบริการอื่นที่มีในร้าน
สรุป M บอกคุณว่าควรลงทุนกับใครมากที่สุด Monetary คือเครื่องมือที่ช่วย “จัดลำดับความสำคัญของลูกค้า” แทนที่จะให้ของขวัญกับทุกคนเท่ากัน เราจะรู้ว่าใครควรได้ของจริง และใครยังรอการ nurture ให้กลายเป็นลูกค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น
เมื่อนำ M มาใช้ร่วมกับ R และ F เราจะได้เห็นลูกค้าชัดเจนขึ้นแบบ 3 มิติ และวางแผนการตลาดที่ แม่นยำ ตรงกลุ่ม และคุ้มค่าทุกบาทที่ลงทุนค่ะ
ตารางลูกค้าทั้ง 11 Segments จาก RFM Model
เมื่อเรามีข้อมูล R, F และ M ของลูกค้าแล้ว สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ การจับค่าทั้งสามมาผสมกัน เพื่อจัดกลุ่มลูกค้าแบบแม่นยำยิ่งขึ้น เราเรียกสิ่งนี้ว่า “RFM Segmentation” ซึ่งโดยทั่วไปจะถูกแบ่งออกเป็น 11 กลุ่มหลัก ที่ใช้งานได้ง่าย ครอบคลุม และนำไปลงมือทำได้จริง
กลุ่มเหล่านี้จะบอกว่า ใครคือคนที่เราควรลงทุนมากขึ้น ใครที่ควรหาทางดึงกลับ และใครที่อาจปล่อยผ่านได้ เพื่อรักษาทรัพยากรไว้กับลูกค้าที่มีโอกาสสูงกว่า
ด้านล่างนี้คือ ตาราง 11 Segments จาก RFM Model ที่นำ ค่า R, F, M มาผสมกัน เพื่อแบ่งลูกค้าออกเป็นกลุ่มเชิงกลยุทธ์ พร้อม ลักษณะพฤติกรรม และกลยุทธ์การตลาดที่แนะนำ ซึ่งออกแบบมาให้เหมาะกับร้านซักรีดโดยเฉพาะค่ะ
แล้วจะสื่อสารกับใครอย่างไร?
กลุ่ม Champion และ Loyal Customers คือกลุ่มที่ “คุ้มค่าที่สุด” สำหรับทุกโปรโมชัน อย่าลังเลที่จะให้รางวัลพิเศษ เพราะลูกค้ากลุ่มนี้มีแนวโน้มจะบอกต่อ, ใช้ซ้ำ และกลายเป็นแฟนประจำที่อยู่กับร้านในระยะยาว
กลุ่ม Potential Loyalist และ Recent Customers กำลังอยู่ในช่วง “พัฒนาความสัมพันธ์” ร้านควรเน้นความน่าประทับใจ สร้างความรู้สึกว่า “คุณเป็นคนสำคัญตั้งแต่ครั้งแรกที่มา” เช่น โปรต้อนรับ, ของแถมเล็กน้อย, หรือบริการพิเศษฟรี 1 รายการ
กลุ่ม Frequent but Losing / Needs Attention / At Risk คือกลุ่มที่ “เคยดี” แต่ตอนนี้เริ่มลดถี่หรือหายไป กลยุทธ์คือ “กระตุ้นให้กลับ” อย่างนุ่มนวล ไม่เร่งเร้า เช่น ส่งภาพผ้าหอม, แจ้งโปรสุดคุ้ม หรือถามความพึงพอใจเพื่อเก็บอินไซต์
กลุ่ม About to Sleep / Can’t Lose Them / Lost คือกลุ่ม “กำลังจะเสียไป หรือเสียไปแล้ว” แนะนำให้ใช้โปรแรง ๆ เป็นครั้งสุดท้าย เช่น “ลด 20% ภายใน 3 วัน” พร้อมข้อความ “เราคิดถึงคุณ” เพื่อดูว่าเขายังสนใจอยู่ไหม ถ้าเงียบ อาจต้องพิจารณาปรับงบการตลาดไปลงทุนกับกลุ่มที่มีโอกาสมากกว่า
การแจกโปรเท่า ๆ กันกับลูกค้าทุกคน อาจฟังดูแฟร์ แต่จริง ๆ แล้ว ทำให้ร้านเสียต้นทุนโดยไม่จำเป็น เพราะลูกค้าที่หายไปแล้วก็อาจไม่กลับมา ส่วนคนที่กลับมาอยู่แล้วก็อาจใช้โปรทั้งที่ไม่จำเป็น RFM ช่วยให้คุณ “รู้ว่าใครควรได้ข้อเสนออะไร” และช่วยให้ กลยุทธ์การตลาดของร้านซักรีด ไม่ใช่แค่การขาย แต่คือการรักษาความสัมพันธ์ระยะยาวค่ะ
สรุปกลยุทธ์ RFM MODEL ร้านซักรีด เข้าใจลูกค้า สร้างบริการให้โดนใจมากขึ้น
การทำการตลาดสำหรับร้านซักรีดไม่จำเป็นต้องเริ่มจากงบประมาณสูง หรือระบบ CRM ซับซ้อน แต่สามารถเริ่มได้จากข้อมูลพื้นฐานที่มีอยู่แล้วค่ะ นั่นคือ “ใครมาใช้บริการ”, “มาบ่อยแค่ไหน”, และ “ใช้จ่ายเท่าไหร่” ซึ่งทั้งหมดสามารถแปลงเป็น RFM Model เพื่อเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าได้อย่างเป็นระบบ
Recency บอกเราว่าใคร “ยังอยู่ในวงโคจร” ของร้าน
Frequency ช่วยชี้ว่าใคร “มีแนวโน้มกลับมาใช้บริการอีก”
Monetary ทำให้เรารู้ว่าใคร “สร้างรายได้จริงให้กับร้าน”
เมื่อรวม 3 ตัวนี้เข้าด้วยกัน เราจะสามารถแบ่งลูกค้าออกเป็น 11 กลุ่มหลัก พร้อมกลยุทธ์ดูแลที่แตกต่างกันไปตามคุณค่าและพฤติกรรมของแต่ละคน ซึ่งช่วยให้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า โปรโมชันไม่สูญเปล่า และยังสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างยั่งยืนอีกด้วยค่ะ
ขอบคุณภาพจาก Shutterstock AI Generator Prompt : A cozy and professional dry cleaning shop. A female staff member is standing at an ironing station, using a steam iron on a white shirt. Clean, organized background with neatly pressed clothes hanging on racks. soft lighting, natural tones, modern decor.
หากคุณเป็นร้านซักรีดที่อยากเริ่มทำการตลาดแบบไม่ยิงแอดหว่าน ๆ แต่ สร้างความภักดีจากฐานลูกค้าเดิม RFM คือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด และคุณสามารถเริ่มได้ทันทีวันนี้ แค่มีสมุดจด หรือ Google Sheets ก็เพียงพอแล้วค่ะ
ถ้าใครมี ChatGPT ลองเข้าไปใช้งาน Personalized RFM Model ของการตลาดวันละตอน เพื่อช่วยให้สร้าง RFM สำหรับธุรกิจของตัวเองได้นะคะ และ หากใครสนใจเรื่อง CRM และ RFM เพิ่มเติม แนะนำหนังสือการตลาดแบบใส่ใจ Customer Relationship Marketing ที่พิมพ์มาแล้วถึง 3 ครั้ง สั่งออนไลน์ได้ที่ลิงก์นี้ค่ะ >> https://s.shopee.co.th/2VeaX5qSc1
และนี่คือ กลยุทธ์ RFM MODEL ร้านซักรีด เข้าใจลูกค้า สร้างบริการให้โดนใจมากขึ้น ถ้าชอบ หรือ สนใจอยากอ่านบทความด้านการตลาดแบบนี้อีก ผู้เขียนฝากติดตามด้วยนะคะ หรือ ถ้าใครอยากให้ผู้เขียนนำมุมมองการตลาดแบบไหนมาเล่าให้ฟัง สามารถคอมเมนต์บอกกันได้เลยนะคะ
สำหรับนักอ่านที่ชอบ และ อยากอ่านบทความเกี่ยวกับการตลาดเพิ่มเติม รวมถึงข่าวสารด้านการตลาดต่าง ๆ สามารถติดตามได้จาก เพจการตลาดวันละตอน รวมไปถึง Twitter Instagram YouTube TikTok ของการตลาดวันละตอนได้เลยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะ