ทริคการการใช้เครื่องมือมาร์เทค (Martech) ติดอาวุธให้ธุรกิจ SME
อย่างที่เราทราบกันดีกว่าเศฐษกิจและการท่องเที่ยวไทยกำลังเร่งฟื้นตัวอย่างเต็มกำลัง ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้จัดงานสัมมนา ‘The Guidetech การใช้เครื่องมือ Martech ในธุรกิจท่องเที่ยว’ เพื่อเสริมองค์ความรู้ด้านเครื่องมือ Martech ติดปีกเสริมแกร่งให้ธุรกิจเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหน
หัวข้อที่จะนำมาแชร์กับในบทความนี้จะเกี่ยวกับ การใช้เครื่องมือมาร์เทค (Martech) ในธุรกิจ SME ที่บรรยายโดยคุณบอล จิตติพงศ์ เลิศประดิษฐ์ นายกสมาคมมาร์เทคแห่งประเทศไทย โดยเนื้อหาจะถูกแบ่งออกเป็น 5 หัวข้อหลัก ดังนี้
Marketing Funnels —ขั้นตอนการตลาด
Customer Journey —การเดินทางของลูกค้าในแต่ละช่องทางการตลาด
Role of Marketing Channels —บทบาทของช่องทางการตลาดกับ Funnels
Martech Mapping —การเลือกใช้ Martech ให้เหมาะกับ Funnels
Recommendation Tools — แนะนำเครื่องมือ Martech ที่เหมาะกับผู้ประกอบการ
ซึ่งแต่ละหัวข้อก็จะมีความคล้ายคลึงและสอดแทรก ซ้อนทับกันไปในแต่ละหัวข้อ ซึ่งทางผู้เขียนเองก็ได้เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมฟังงามสัมมนานี้ด้วยเช่นกันจึงถือเป็นโอกาส เก็บทริคข้อมูลเด็ดมาแบ่งปันกับในบทความนี้ค่ะ
รับรองได้ว่าย่อยง่าย เข้าใจได้ไม่ยาก คัดเนื้อมาให้เน้น ๆ การตลาด และมาร์เทค (Martech) จะติดอาวุธให้ธุรกิจได้อย่างไร ติดตามได้ในบทความนี้ค่าา
Marketing Funnels —ขั้นตอนการตลาด
เรามาเริ่มต้นกันด้วยการทำความเข้าใจ Marketing Funnel ก่อนว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร
Marketing Funnel คือ ขั้นตอนวางแผนทำการตลาดที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ ครอบคลุมตั้งแต่ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายตลอดจนสร้างยอดขาย เก็บ leads หรืออะไรก็ตามที่คุณตั้งใจให้เกิด Conversion
เรียกง่าย ๆ Marketing Funnel แต่ละขั้นตอน จะช่วยดึงดูด โน้มน้าว และทำให้ว่าที่ลูกค้าของคุณ Commit สิ่งที่คุณต้องการได้อย่างเป็นระบบแบบแผนนั่นเองค่ะ ซึ่งทางคุณบอลเองก็ได้แบ่งปันความรู้การทำ Marketing Funnel ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดด้วยเช่นกัน โดยรายละเอียดมีดังนี้
Reach: Reach to target audience
ขั้นตอนนี้ถือเป็นขั้นตอนแรกที่นักการตลาด ผู้ประกอบการทุกท่านจะต้องเจอและจำเป็นต้องทำในการทำ การตลาด นั่นก็คือ การ Reach หรือการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยวิธีในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมีหลัก ๆ 3 วิธี ดังนี้
Google Ads / Facebook ads : จ่ายเงินซื้อโฆษณา นึกภาพง่าย ๆ เหมือนการที่เราท่องอินเทอร์เน็ตแล้วเจอสื่อโฆษณานั่นเองค่ะ
ข้อดี
ง่าย เร็ว
เลือก Audience ได้
วัดผล Conversion ได้จากการติด Pixel
ข้อเสีย
ต้องใช้เงินตลอดเวลา
เคลม Conversion เกินจริง
ราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ
Audience เริ่มไม่แม่นยํา
Influencer Marketing
ข้อดี
ง่าย เร็ว ทําได้เลย
เลือกอินฟลูให้เข้ากับสินค้าได้
เหมาะกับสินค้าที่ขายด้วย Emotional
ข้อเสีย
พึ่งพาอินฟลูอยู่ตลอด
วัดผลไม่ได้โดยตรง
ชื่อเสียงของแบรนด์เราอยู่ที่อินฟลู
อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Influencer Marketing ได้ที่นี่ <คลิก >
Billboard, Signage, ป้ายลูกนิมิต
ข้อดี
เหมาะกับคนทุกเจน
เหมาะกับสินค้าที่มีหน้าร้าน
พื้นที่ที่กลุ่มเป้าหมายมีความจำกัด
ข้อเสีย
วัดผลได้ยากถึงไม่ได้เลย
ราคาแพง
แก้ไขเปลี่ยนแปลงเนื้อหายาก
งานแถลงข่าว PR News ต่าง ๆ
ข้อดี
ได้ลงสื่อใหญ่
สร้างความเชื่อมั่นได้ดี
มีการรองรับโดยคู่ค้าอื่นๆ
ข้อเสีย
วัดผล Coverage ไม่แม่นยํา
ใช้งบประมาณสูง
วัดผล Conversion ยาก
User-generated Content (UGC)
ข้อดี
จริงใจ น่าเชื่อถือ
บุคคลที่3 ช่วยให้มั่นใจ
สร้างเทรนด์เปิดการมองเห็น
ข้อเสีย
คุมโทนไม่ได้
เสี่ยงกระแสไม่ดี
อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ User-generated Content (UGC) ได้ที่นี่ <คลิก >
Online Reviews
ข้อดี
จริงใจ น่าเชื่อถือ
ดูสถิติย้อนหลังได้
ค้นใช้ Google Map เยอะมาก
จําเป็นสําหรับธุรกิจหน้าร้าน
ข้อเสีย
กลั่นแกล้งกันได้จากผู้ไม่ประสงค์ดี
ต้องดูแล ระวังถูกขโมยเปลี่ยนเบอร์โทร
[3] ช่องทางของเราเอง — Own Channels
Search Engine Optimization (SEO)
ข้อดี
ออแกนิค น่าเชื่อถือ
เหมาะกับสินค้าที่ต้องพิจารณาเวลานาน ลูกค้าตรง เพราะเจตนาค้นหา ด้วยคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสินค้า
Conversion Rate ดีกว่าช่องทางอื่นๆ
ข้อเสีย
ใช้เวลานานเหมือนวิ่งมาราธอน
ค่าใช้จ่ายเอเจนซี่สูง
ต้องกําหนดคีย์เวิร์ดให้ถูกต้อง
ปรับปรุงอยู่ตลอดเวลาเพื่อรักษาอันดับ
Al Search จะมาแทนที่ในอนาคต
อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การทำ SEO ได้ที่นี่ <คลิก >
Action: Collect They Contact
ถัดมาคือการพยายามเก็บข้อมูลความสนใจและข้อมูลเพื่อทำการติดต่อ สาเหตุก็เพราะข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราจัดกลุ่มลูกค้าได้ว่าใครเป็นใคร มีกลุ่มไหนบ้าง กลุ่มไหนมีพฤติกรรมอย่างไร ชอบอะไร หรือเรียกสั้น ๆ ว่าการทำ Segmentation นั่นเองค่ะ
โดยข้อมูลที่แนะนำให้เก็บจะมีสองกลุ่มใหญ่ ๆ ที่เก็บมาแล้วได้ใช้ประโยชน์แน่ ๆ ไม่เสียเปล่าแน่นอน
[1] ข้อมูลที่ระบุตัวตนติดต่อได้ (PII)
ชื่อเต็ม (Full name) — ทำให้เรารู้ว่าเขาคือใคร บางครั้งเราสามารถวิเคราะห์เพศของลูกค้าได้จากชื่อ
ที่อยู่จริง (Physical address) — ทำให้เรารู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน การตลาด จะมั่นคงได้ถ้าเรารู้ที่อยู่จะได้ส่งมอบ การทำการตลาดได้ถูกต้อง
Email address — เอาไว้ส่งข้อเสนอ โปรโมชั่น ต่าง ๆ
เลขบัตรเครดิต (Credit card) — ทำให้รู้เส้นทางการจ่ายเงิน การใช้เงิน
[2] ข้อมูลที่ระบุคุณลักษณะ (Attribute)
การศึกษา — ทำให้เรารู้ได้ว่าอะไรที่ควรส่งมอบหรือเสนอให้กับกลุ่มลูกค้า รูปแบบสื่อ การตลาด แบบไหน ที่เหมาะสม
ชั้นเรียน — เช่นเดียวกันกับข้างบน
คณะที่เรียน — ความสนใจของสินค้าหรือบริการสะท้อนมาจากคณะที่เรียนได้ในเบื้องต้น
พฤติกรรมการในเว็บไชต์ — ทำให้เรารู้ว่าเขาชอบคอนเทนต์แบบไหน ใช้เวลาไปกับอะไร
เบอร์โทรศัพท์ (Phone number) — สิ่งสำคัญที่สามารถต่อยอดได้หลายด้าน เพราะเป็นสิ่งที่คนไม่ค่อยหวงเวลาให้ข้อมูล ทำให้เรารู้ได้ว่าเขาไปใช้บริการที่ไหน สาขาไหน หรือสามารถทำการ Telesale ได้
หากเป็นธุรกิจที่พึ่งเริ่มต้นแรก ๆ แนะนำให้ใช้เครื่องมือที่พื้นฐานสุด ๆ เช่น Google Forms และ Google Sheet ในการถาม เก็บและวิเคราะห์ข้อมูลค่ะ เพราะเป็นเครื่องมือที่ฟรี สามารถเข้าถึงได้ง่าย ๆ ใช้งานไม่ซับซ้อน
Convert: Close Sale / Purchase
หลังจากที่เราพยาามเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เก็บข้อมูล ทำสื่อโฆษณา การตลาด และเข้าถึงให้ได้อย่างตรงจุดแล้ว ขั้นตอนถัดมาคือการพยายามปิดการขายให้เร็วที่สุดนั่นเองค่ะ โดยวิธีที่คุณบอลแชร์ในงานครั้งนี้มีทั้งสิ้น 6 วิธีด้วยกันที่คัดมาแล้วว่าเหมาะกับคนไทย
[1] Sales Representative : เหมาะกับการขายสินค้าประเภทเครื่องจักร ซอฟแวร์ ของแพง ๆ หรือถ้าทำระบบไม่ทัน การใช้เซลล์เป็นตัวถาม กรอกข้อมูล เก็บข้อมูลและปิดการขายด้วยเซลล์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำได้
ปัญหาและความท้าทายที่ควรระวัง
การขายในธุรกิจ B2B มีกระบวนการที่ซับซ้อน ไม่สามารถนิยามดีลได้ชัด
ไม่มีการติดตามกิจกรรมการขาย หรือส่งถ่ายข้อมูลให้ พนักงานคนอื่นๆ
ข้อผิดพลาดในการพิมพ์ข้อมูลลูกค้า
ไม่สามารถรักษา ความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง
ขาดแคลนข้อมูลที่สําคัญในการตัดสินใจ
ไม่มีเครื่องมือชี้วัด ประสิทธิภาพ การขายอย่างเป็นระบบ
[2] Live Commerce : นึกภาพง่าย ๆ ก็คือวิธีการขายไลฟ์สดแบบพิมรี่พาย เปิดการขายและปิดการขายไปในตัวพร้อมกัน ครบจรในที่เดียว
ปัญหาและความท้าทายที่ควรระวัง
ต้องใช้แรงคนในการตอบ
ดึงข้อมูลออเดอร์ไม่ทันในคอมเมนท์
[3] Branch/ Showroom : เป็นหนึ่งในวิธีปิดการขายที่ง่าย เพราะลูกค้าสามารถมีส่วนร่วมกับสินค้าและบริการได้ด้วยตัวเอง ทำให้เซลล์สามารถเข้าไปช่วยปิดการขายได้ง่ายขึ้น
ปัญหาและความท้าทายที่ควรระวัง
ทักษะในการเจรจาของพนักงานขายหน้าร้าน
ลูกค้าเกิดการลังเลเนื่องจากสามารถเปรียบเทียบเพื่อหาตัวเลือกที่ดีที่สุด
[4] Chat Commerce : การทักแชทเข้าไปสั่งซื้อกับร้านค้าโดยตรง สามารถปิดการขายได้ง่าย ๆ โดยปรับใช้ Martech ช่วยปิดการขาย การสรุปยอด ทำขั้นตอนการชำระเงินให้ง่ายขึ้น
ปัญหาและความท้าทายที่ควรระวัง
พนักงานด่านหน้าที่ทำการเปิดและปิดการขายให้ลูกค้าต้องมีทักษะที่ดี
ระบบที่ใช้อาจขัดข้องได้
[5] Marketplace : เช่น วางขายสินค้าใน Lazada, Shopee ช่องทางเหล่านี้สามารถช่วยเราปิดการขายได้ เพราะมีตัวช่วยต่าง ๆ เช่น ส่วนลด โปรโมชั่น เป็นต้น
ปัญหาและความท้าทายที่ควรระวัง
เราไม่ได้เก็บข้อมูลเองอาจได้ข้อมูลไม่ครบที่เราต้องการ
เก็บ transactional แบบละเอียดไม่ได้
[6] E-Commerce : การแลกเปลี่ยนโดยตรงกับผู้ซื้อและผู้ขาย เป็นหน้าร้านออนไลน์ที่ช่วยปิดการขายได้เช่นกัน เพราะบางคนไม่มีเวลาไปที่หน้าร้าน หรือมีพฤติกรรมชอบช้อปปิ้งออนไลน์
ปัญหาและความท้าทายที่ควรระวัง
ลูกค้าหล่นหายไปตอนไหนไม่รู้
สร้างระบบเองยาก สามารถใช้ Martech ช่วยได้ เช่น เทพshop ketshopweb bento
ทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ
Engage: Keep Relation / Build Loyalty
ขั้นตอนสุดท้ายคือการทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ มีส่วนร่วมกับแบรนด์ โดยที่เราต้องพยายามติดต่อสื่อสารอยู่เป็นประจำ โดยวิธีที่คุณบอลแนะนำมามีดังนี้
Punch Card Program — บัตรสะสมแต้ม มาใช้บริการหรือซื้อสินค้าครั้งหนึ่งก็เก็บเป็นแต้มสะสมไปเรื่อย ๆ และกระตุ้นให้กลับมาซื้อซ้ำโดยการตั้งเป้าเป็นรางวัลเมื่อเก็บครบตามเกณฑ์
Point-Based Program — หลักการณ์เช่นเดียวกัน แต่เปลี่ยนจากบัตรสะสมแต้มแบบปั๊ม เป็นคะแนนที่เกิดจากการซื้อสินค้าหรือบริการ
Tier Program — เพิ่มสิทธิพิเศษตาม Tier ของลูกค้า โดยเพิ่มระดับของสิทธิพิเศษเพื่อกระตุ้นให้คน Engage กับแบรนด์มากขึ้นไปเรื่อย ๆ
Paid Program — เช่น สมัครบัตรสมาชิกแล้วจะได้รรับส่วนลดเพิ่ม x%
Cashback Program — ระบบจ่ายเงินคืน อาจอยู่ในรูปของคูปองแทนเงินสด กระตุ้นให้คนกลับมาซื้อซ้ำบ่อย ๆ
โดยสรุปจาก Funnel ทั้ง 4 ขั้นตอน Martech ที่สามารถปรับใช้ได้นั่นมีมากมายเหลือเกินค่ะ ทั้งแบบพื้นฐานจนไปถึงขั้น Advance แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Martech เหล่านี้ไม่ได้ปรับใช้ยากเลย เพราะเทคโลโนยีพัฒนามาไกลมากและมีความ Friendliness กับผู้ใช้มากขึ้น
เช่น ChatPGT ที่ใครก็สามารถใช้ได้ ทั้งใช้ในการหาคำตอบ ช่วยคิดคอนเทนต์ เขียนบทความ วิเคราะห์ข้อมูล เป็นต้น และอาจใช่ Social listening tool อย่าง Mandala ที่ทางทีมการตลาดใช้กันประจำในการจับเทรนด์ จับตาดูคู่แข่ง วิเคราห์ข้อมูลมาเสริมด้วยก็ได้เพื่อความปัง ๆ ยิ่งขึ้นเข้าไปอีก
สรุป ทริคการการใช้เครื่องมือมาร์เทค (Martech) ติดอาวุธให้ธุรกิจ SME
จะเห็นได้ว่า Martech กับ SME เป็นอะไรที่ไม่ได้ไกลตัวกันมากมายเลย ต่อให้เราเป็นรายเล็กก็สามารถปรับใช้เครื่องมือเทคโนโลยีกับธุรกิจ การตลาด ของเราได้เช่นกัน โดยเริ่มต้นง่าย ๆ ที่ตัวเราเอง เพราะจุดเริ่มต้นที่ดีคือเริ่มต้นที่ตัวเรานั่นเองค่ะ
สำหรับใครที่อยากต่อยอดข้อมูลจากการทำ Marketing Funnels แนะนำให้อ่าน รวมตัวอย่าง Data Visualization ธุรกิจท่องเที่ยว ต่อยอดทางการตลาดได้อย่างไรบ้าง? ที่เป็นหนึ่งในหัวข้อที่พี่หนุ่ย การตลาดวันละตอนได้ขึ้นไปพูดในงานสัมมนานี้ รับรองได้ว่าข้อมูลและ Insight แน่นไม่แพ้กันค่ะ
หวังว่าตัวอย่างเหล่านี้จะเป็นประโยชน์และสร้างไอเดียใหม่ ๆ ต่อผู้อ่านทุกคนนะคะ แล้วพบกันใหม่บทความหน้าค่ะ
สำหรับใครที่อยากอ่านบทความเกี่ยวกับการตลาดเพิ่มเติม หรือข่าวสารการตลาด สามารถติดตามได้จาก เพจการตลาดวันละตอน รวมไปถึงเว็บไซต์ Twitter Instagram YouTube และ Blockdit ของการตลาดวันละตอนด้วยนะคะ