สวัสดีค่ะทุกท่าน^^ ในบทความนี้นิกจะพาทุกท่านไปรู้จักกับ Hyper Personalization Marketing หรือขอเรียกว่าเป็น “การตลาดแบบเฉพาะเจาะจงขั้นสุด” ที่ไม่ใช่แค่การเรียกส่งข้อความหรือชื่อลูกค้าในอีเมลอีกต่อไป แต่เป็นการปรับเปลี่ยนประสบการณ์การตลาดทั้งหมดให้เข้ากับความต้องการ ความสนใจ และบริบทของลูกค้าแต่ละคนแบบ Real-time
ทุกท่านลองนึกภาพตามนะคะว่าถ้าโฆษณาที่เราเห็น สินค้าที่แนะนำ หรือเนื้อหาที่เรากำลังอ่านอยู่นี้ ถูกปรับแต่งมาเพื่อเราคนเดียวจริงๆ สิ่งเหล่านั้นจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจใช้บริการหรือซื้อสินค้าของเราขนาดไหน ✍(◔◡◔)
และนั่นแหละค่ะคือพลังของ Hyper Personalization Marketing !!
credit: Dialog Insight
#1 ปฏิวัติการตลาดสู่ยุค Hyper Personalization เมื่อลูกค้าทุกคนคือจักรวาล
อย่างที่เราทราบกันดีค่ะว่า การตลาดได้เดินทางผ่านยุคสมัยต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง จากการสื่อสารแบบวงกว้างที่ไม่เจาะจง (Mass Marketing) สู่การแบ่งกลุ่มเป้าหมายที่แคบลง (Segmented Marketing) และในที่สุดก็มาถึงจุดที่เทคโนโลยี และข้อมูลได้เปิดประตูสู่การสร้างประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวอย่างแท้จริงสำหรับลูกค้าแต่ละคน นั่นคือยุคของการตลาดแบบ Hyper-Personalized กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงลักษณะของการตลาดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยมองว่าลูกค้าแต่ละรายไม่ใช่เพียงแค่ส่วนหนึ่งของกลุ่มเป้าหมาย แต่เป็นเหมือนหนึ่ง “จักรวาล” ที่มีความต้องการ ความสนใจ และบริบทที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
เพราะ Hyper-Personalized ไม่ได้หยุดอยู่แค่การใช้ชื่อลูกค้าในอีเมล หรือการแนะนำสินค้าตามประวัติการซื้อครั้งก่อนหน้าเท่านั้น แต่เป็นการปรับเปลี่ยนประสบการณ์การตลาดทั้งหมด โดยอิงจากข้อมูลที่หลากหลายและบริบท ณ ขณะนั้น
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้รวมถึงพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์/แอปพลิเคชันแบบเรียลไทม์, ข้อมูลตำแหน่งที่ตั้ง, ข้อมูลอุปกรณ์ที่ใช้, ความสนใจที่แสดงออกล่าสุด, ปฏิกิริยาต่อแคมเปญก่อนหน้า, และอื่นๆ อีกมากมาย โดยเป้าหมายคือการนำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการหรือสนใจ ก่อน ที่ลูกค้าของเราจะรู้ตัวด้วยซ้ำ (*≧︶≦))( ̄▽ ̄* )ゞ
โดยขอบเขตของ Hyper-Personalized ครอบคลุมทุก Touchpoint ที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นบนเว็บไซต์, แอปพลิเคชัน, อีเมล, โซเชียลมีเดีย, โฆษณาออนไลน์, หรือแม้แต่ประสบการณ์ในร้านค้าจริง
และหนึ่งในปัจจับขับเคลื่อนของการตลาดแบบนี้คือความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI, Machine Learning, Big Data Analytics, Cloud Computing, และ Real-time Data Processing เพราะทำให้เราสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เพื่อระบุ Insight และสร้าง Predictive Models ที่ช่วยให้แบรนด์เข้าใจลูกค้าในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
credit: TIBCO
#2 ทำความเข้าใจ AI Automation ปัจจัยสำคัญของการขับเคลื่อน Hyper-Personalization สำหรับ Data driven marketing
ปัจจัยสำคัญของ Hyper-Personalization คือการมีข้อมูลลูกค้าที่ครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน ซึ่ง AI Automation มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่อและรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ดังนี้
Customer Data Platforms (CDPs): ระบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อรวมข้อมูลลูกค้าจากทุก Touchpoint ให้เป็น Profile เดียว ทำให้ได้มุมมองลูกค้าแบบ 360 องศา โดย AI สามารถทำงานร่วมกับ CDP ในการระบุและรวมข้อมูลที่กระจัดกระจาย
Customer Relationship Management (CRMs): ระบบที่เก็บข้อมูลปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า เช่น ประวัติการติดต่อ การซื้อ และการบริการ ซึ่งเราสามารถใช้ AI ดึงข้อมูลจาก CRM และนำไปวิเคราะห์เพื่อหา Insight
เว็บไซต์และแอปพลิเคชัน: AI สามารถติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน เช่น หน้าที่เข้าชม สินค้าที่ดู ระยะเวลาที่ใช้
POS (Point of Sale): ข้อมูลการซื้อสินค้า ณ จุดขายเป็นข้อมูลสำคัญที่ ซึ่ง AI สามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อเข้าใจพฤติกรรมการซื้อแบบออฟไลน์ได้
โซเชียลมีเดีย: ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย เช่น การแสดงความคิดเห็น การกดไลค์ หรือการแชร์ สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความสนใจและความรู้สึกของลูกค้าที่เราสามารถใช้ความสามารถของ Natural Language Processing (NLP) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ได้
แหล่งข้อมูลอื่นๆ: เช่น อีเมล, SMS, IoT Devices, และอื่นๆ ที่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าได้
ผลลัพธ์จากการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI Automation คือ Insight ต่างๆ เช่น Segmentation ของลูกค้าที่มีลักษณะและความสนใจที่คล้ายคลึงกันในระดับที่ละเอียดกว่าการแบ่งกลุ่มแบบเดิม หรือผลคาดการณ์พฤติกรรมในอนาคต เช่น โอกาสในการซื้อซ้ำ ความเสี่ยงในการเลิกใช้งาน หรือความสนใจในผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึง Anomaly Detection ของพฤติกรรมที่ผิดปกติ ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงโอกาสในการขาย หรือความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง
ซึ่งเหล่านี้เองที่ช่วยให้แบรนด์เข้าใจลูกค้าในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น Insight เหล่านี้สามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการตลาด การขาย และการบริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างสูงสุดด้วยการระบุ Insight และ Patterns ที่ซ่อนอยู่ในข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง
#3 การ Orchestrate Journey ลูกค้าแบบอัตโนมัติด้วย AI
จากหัวข้อก่อนหน้าทุกท่านจะเห็นว่า Hyper-Personalization ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การปรับเปลี่ยนข้อความหรือรูปภาพ แต่ยังรวมถึงการปรับเปลี่ยนประสบการณ์ทั้งหมดที่ลูกค้ามีกับแบรนด์ตลอด Customer Journey ซึ่ง AI Automation มีบทบาทสำคัญในการ Orchestrate Journey เหล่านี้แบบอัตโนมัติ โดยมีรายละเอียดดังนี้ค่ะ
การสร้าง Customer Journey Maps ที่มีความละเอียดและเฉพาะเจาะจง: เราสามารถใช้ AI ในการสร้าง Journey Maps ที่มีความละเอียดโดยอิงจากข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้าจริง ทำให้เข้าใจถึง Touchpoint ต่างๆ ที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์และความรู้สึกของพวกเขาในแต่ละขั้นตอนได้
การ Trigger แคมเปญและข้อความตามพฤติกรรมและบริบทของลูกค้าแบบเรียลไทม์: จากการที่ AI สามารถตรวจจับพฤติกรรมของลูกค้าแบบเรียลไทม์ เช่น การเข้าชมหน้าสินค้าบางหน้า การเพิ่มสินค้าลงในตะกร้าแต่ยังไม่ซื้อ หรือการแสดงความสนใจในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง จากนั้น AI จะ Trigger แคมเปญหรือข้อความที่เกี่ยวข้องและเหมาะสมกับบริบทนั้นๆ โดยอัตโนมัติ เช่น การส่งอีเมลแจ้งเตือนสินค้าในตะกร้า หรือการแสดงโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ลูกค้าเพิ่งเข้าชม
การปรับเปลี่ยน Journey แบบไดนามิกตามการตอบสนองของลูกค้า: ต่อเนื่องจากข้อก่อนหน้าค่ะ ที่ AI ไม่เพียงแต่ Trigger แคมเปญ แต่ยังสามารถปรับเปลี่ยน Journey ของลูกค้าแบบไดนามิกตามการตอบสนองต่างๆ เช่น หากลูกค้าเปิดอีเมลและคลิกเข้าไปดูสินค้าที่แนะนำ Journey ในอนาคตอาจนำเสนอข้อมูลเพิ่มเติมหรือข้อเสนอที่น่าสนใจยิ่งขึ้น แต่หากลูกค้าไม่ตอบสนอง AI อาจปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการสื่อสารเป็นต้น
ตัวอย่างการ Orchestrate Journey ในสถานการณ์ต่างๆ ดังนี้
การต้อนรับลูกค้าใหม่ (New Customer Onboarding): วิเคราะห์ข้อมูลการลงทะเบียนและความสนใจเบื้องต้นของลูกค้าใหม่ เพื่อนำเสนอเนื้อหาและข้อเสนอที่เหมาะสมกับการเริ่มต้นใช้งานผลิตภัณฑ์หรือบริการ
การนำเสนอสินค้าที่ถูกทิ้งไว้ในตะกร้า (Abandoned Cart Recovery): เป็นการ Trigger อีเมลหรือการแจ้งเตือนไปยังลูกค้าที่ทิ้งสินค้าไว้ในตะกร้า พร้อมด้วยข้อเสนอพิเศษหรือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าเหล่านั้น
การกระตุ้นให้กลับมาซื้อซ้ำ (Repeat Purchase Encouragement): วิเคราะห์ประวัติการซื้อและความถี่ในการซื้อของลูกค้า เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เกี่ยวข้อง หรือข้อเสนอพิเศษในช่วงเวลาที่เหมาะสม
การจัดการลูกค้าที่ไม่มีส่วนร่วม (Inactive Customer Re-engagement): ระบุลูกค้าที่ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์เป็นเวลานาน และ Trigger แคมเปญที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเหล่านี้กลับมามีส่วนร่วมกับแบรนด์อีกครั้งค่ะ
#4 การสร้าง Hyper-Personalized แบบ End-to-End ด้วย Low-code
จาก Framework ของ Hyper-Personalization Marketing ซึ่งได้แก่
AI Automation ประกอบด้วย
Orchestrate ข้อมูลลูกค้าแบบ Real-time: ที่ AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการรวบรวม จัดระเบียบ และทำความเข้าใจข้อมูลลูกค้าจากแหล่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบ CDP (Customer Data Platform), CRM (Customer Relationship Management), ข้อมูลจากเว็บไซต์, แอปพลิเคชัน, หรือแม้แต่ข้อมูลจากการซื้อขาย ณ จุดขาย (POS) ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นแบบเรียลไทม์ ทำให้แบรนด์เห็นภาพลูกค้าได้ครบถ้วนและทันต่อสถานการณ์
ส่งต่อข้อมูล Insight > สร้าง Campaign > สร้าง Prompt: เมื่อ AI ประมวลผลข้อมูลจนได้มาซึ่ง Insight หรือข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้าแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำ Insight เหล่านั้นมาใช้ในการวางแผนและสร้างแคมเปญการตลาดที่ตรงจุด จากนั้น AI จะช่วยสร้าง “Prompt” หรือชุดคำสั่งที่ใช้ในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ Personalized ในขั้นตอนถัดไป
AI Creative Optimization Workflow รายละเอียดดังนี้
สร้างภาพ Key Visual ที่ Personalized ตาม Segmentations: ทดแทนการใช้ภาพโฆษณาแบบเดียวสำหรับลูกค้าทุกคน AI จะสามารถสร้างสรรค์ภาพ Key Visual ที่แตกต่างกันไปตามกลุ่มลูกค้า (Segmentation) หรือแม้แต่ลูกค้าแต่ละคน โดยอาจปรับเปลี่ยนสี องค์ประกอบ หรือข้อความในภาพให้สอดคล้องกับความชอบหรือบริบทของแต่ละบุคคล
สร้าง Copy / Caption แบบ Multi-Variation ที่ไม่เพียงแต่ภาพเท่านั้น แต่ AI ยังสามารถสร้างสรรค์ข้อความโฆษณา (Copy) หรือคำบรรยาย (Caption) ได้หลากหลายรูปแบบ (Multi-Variation) เพื่อทดสอบและเลือกใช้ข้อความที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่ม หรือแต่ละบุคคล
ซึ่งในอดีตการนำเทคโนโลยีต่างๆ เช่น AI และ Machine Learning มาใช้ในการสร้างกลยุทธ์ Hyper-Personalization ตามรายละเอียดด้านบนนั้นถูกจำกัดอยู่เฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ที่มีทรัพยากรและความเชี่ยวชาญเท่านั้นค่ะ แต่ความน่าสนใจมากๆ สำหรับการตลาดในยุคนี้ก็คือ เทคโนโลยีเหล่านั้นไม่ได้ถูกจำกัดการใช้งานอยู่ในเฉพาะกลุ่มอีกต่อไปแล้ว (★‿★)
เพราะปัจจุบันเรามีแนวคิดและเครื่องมือ Low-code ที่ช่วยลดความซับซ้อนในการใช้งานเทคโนโลยี และทำให้การสร้างประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวสำหรับลูกค้าแต่ละรายกลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น
ซึ่ง Low-code หมายถึงแนวทางการพัฒนาและใช้งานแอปพลิเคชันหรือเครื่องมือต่างๆ โดยมีการเขียนโค้ดน้อยที่สุด หรือในบางกรณีอาจไม่ต้องเขียนโค้ดเลย และเราสามารถสร้าง Workflow, เชื่อมต่อข้อมูล, และปรับแต่งการทำงานผ่าน Interface ที่ใช้งานง่าย เช่น Drag-and-Drop หรือ Visual Builder เป็นต้น
และด้วยเครื่องมือ Low-code นี่เองค่ะที่ทำให้นักการตลาดอย่างพวกเรา สามารถทดลองและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ Hyper-Personalization ได้อย่างรวดเร็ว สามารถสร้าง Segmentation ใหม่ๆ ออกแบบ Customer Journey ที่ซับซ้อน และปรับแต่งคอนเทนต์ได้อย่างง่ายและเร็ว ทำให้แบรนด์สามารถตอบสนองต่อความต้องการและความเปลี่ยนแปลงของลูกค้าได้แบบ Real time โดยตัวอย่างของแพลตฟอร์ม Low-code ที่ทุกท่านสามารถเข้าไปทดลองใช้งานได้มีดังนี้ค่ะ
Braze เป็นแพลตฟอร์ม Customer Engagement ที่มี Flow แบบ Visual สำหรับการสร้าง Customer Journey และการ Personalize ข้อความในหลากหลายช่องทาง
Iterable เป็นแพลตฟอร์ม Growth Marketing ที่มี Segment Builder และ Template Editor ที่ใช้งานง่ายสำหรับการสร้างแคมเปญ Personalized
Optimizely เป็นแพลตฟอร์ม Digital Experience Optimization ที่มี Visual Editor สำหรับการทำ A/B Testing และการ Personalize เว็บไซต์โดยไม่ต้องเขียนโค้ด
Unbounce เป็นแพลตฟอร์ม Landing Page และ Conversion Optimization ที่มี Drag-and-Drop Builder สำหรับการสร้าง Landing Page ที่ Personalized