แน่นนอนว่าทุกคนต่างต้องการความสะดวกสบาย (Convenience) และการเข้าถึงสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นสินค้า บริการ หรือ ข้อมูล ซึ่งการจะทำให้การเข้าถึงง่าย สะดวก สบาย ก็ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้แบรนด์ต่าง ๆ ประสบความสำเร็จ หรือไม่ก็พลาดโอกาสที่มีค่าไปได้เลย Ariel Procter & Gamble (P&G) เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจในการผสมผสานแนวคิดเรื่องการออกผลิตภันณ์ที่สะดวกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กับ Customer-Centric การตลาดผงซักฟอก ที่ Making Inaccessible Accessible
Ariel สิ่งที่ไม่สามารถเข้าถึงได้กลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่าย นั่นเองค่ะ ผ่านประยุกต์ใช้ในพัฒนาบรรจุภัณฑ์ EcoClic นวัตกรรมใหม่ของ Ariel เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานของทุกคน
กำเนิด Ariel คืออะไร?
Ariel
นอกจากนี้แบรนด์ Ariel ยังเป็นที่รู้จักในด้านของ การพัฒนาเทคโนโลยีการซักผ้า และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึง EcoClic packaging
‘Making Inaccessible Accessible’ ทำสิ่งที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ กลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ (ยังไง?)
Making Inaccessible Accessible เป็นแนวคิดที่ Ariel ได้นำมาใช้ในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ EcoClic ซึ่งแนวคิดนี้เองหมายถึงการทำให้ สิ่งที่เคยเข้าถึงยาก นั้นกลายเป็นสิ่งที่ เข้าถึงได้ง่าย โดยไม่มีข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นสำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวหรือผู้ที่มีปัญหาทางสายตา
Ariel นำแนวคิดตรงนี้มาปรับใช้ในการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อสะดวกและปลอดภัย สามารถเข้าถึงได้ง่ายสำหรับทุกคนเหมือนกับ Concept ที่ว่า Making Inaccessible Accessible นั้นเองง
Inaccessible Accessible หรือ การทำให้สิ่งที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ กลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ เชื่อว่าหลาย ๆ คนผู้อ่านที่น่ารักคงจะได้ยินผ่านหูผ่านตากันมาบ้างใช่ไหมคะ
credit picture : kartavyasadhana.in บอกได้เลยว่าแนวคิดนี้ถือเป็นแนวคิดที่หลาย ๆ ธุรกิจเริ่มให้ความสำคัญกับการเข้าถึงทุกกลุ่มผู้บริโภค ไม่ใช่แค่ผู้บริโภคทั่วไปเท่านั้น แต่รวมถึงผู้ที่มีข้อจำกัดทางกายภาพ หรือผู้ที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นหรือการเคลื่อนไหว มากกว่าเฉพาะกลุ่มแต่จะคลอบคลุมยังไงในแต่ละกลุ่ม
Making Inaccessible Accessible แนวคิดการออกแบบที่ทันสมัยและครอบคลุม
การทำให้ สิ่งที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ กลายเป็น สิ่งที่เข้าถึงได้ ฟังดูอาจจะเป็นแนวคิดที่เรียบง่ายใช่ไหมคะ แต่ทางเดียวกันก็มีผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน
ก่อนอื่นเลยขอเล่าท้าวความก่อนว่า บรรจุภัณฑ์แบบเดิม ๆ ในเมื่อก่อนของ Ariel เป็นแบบเปิด-ปิด พลาสติกทั่ว ๆ ไป ซึ่งถ้ามองในเรื่องของการใช้งานแล้วก็ค่อนข้างยากต่อการใช้มาก ๆ เลยค่ะ (เหมือนกับภาพที่แนบข้างล่าง)
ซึ่งในปัจจุบัน Ariel ได้พัฒนาบรรจุภัณฑ์ EcoClic ที่ใช้ง่ายต่อการใช้งาน ไม่ต้องใช้ความสามารถพิเศษในการเปิดฝา ด้วยการออกแบบที่ใช้ ปุ่มกดสองปุ่ม ซึ่งต้องกดพร้อมกันเพื่อเปิดฝา ข้อดีของการออกแบบนี้คือมันง่ายสำหรับผู้ใหญ่แต่ทางเดียวกันก็ ยากสำหรับเด็ก คง Concept ความปลอดภัย จากอันตรายกับเด็กน้อย
แนวคิด Barrier-Free Design การออกแบบที่ไม่มีข้อจำกัด
ในส่วนของขั้นตอนกระบวนการพัฒนา EcoClic packaging Ariel ยังมีการใช้แนวคิด Barrier-Free Design ที่หมายถึงไม่มีอุปสรรคหรือข้อจำกัดในการใช้งานสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีข้อจำกัดทางการเคลื่อนไหว หรือผู้ที่มีปัญหาทางสายตา การออกแบบนี้มุ่งเน้นให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการสามารถเข้าถึงได้ง่ายและสะดวกสำหรับทุกคนโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความสามารถพิเศษใด ๆ เช่น การออกแบบที่เปิดใช้งานง่ายและเหมาะสมกับทุกกลุ่มผู้บริโภค เป็นต้น
Barrier-Free Design ไม่ใช่แค่การออกแบบเพื่อความสะดวกของผู้ใช้งานทั่วไป แต่ยังคำนึงถึงผู้ที่มีความบกพร่องทางการเคลื่อนไหวหรือการมองเห็นเช่นเดียวกัน การทำให้การใช้งานไม่มีอุปสรรคใด ๆ จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถใช้สินค้าหรือบริการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั้นเองง
การออกแบบที่ใส่ใจผู้บริโภคที่มีความบกพร่องทางสายตา
ในเรื่องนี้ Ariel ไม่ใช่แค่โฟกัสที่ความปลอดภัยของกลุ่มเด็กเล็กทารกเท่านั้น แต่ยังโฟกัสกลุ่มคนที่มีความบกพร่องทางสายตาด้วย ซึ่ง สิ่งที่ทำให้ EcoClic ยื่งน่าสนใจยิ่งขึ้น ก็คือการนึกถึงกลุ่มผู้บริโภคที่มีความบกพร่องทางสายตา ที่มักจะมองข้ามจากแบรนด์อื่น ๆ
Ariel ได้เพิ่ม NaviLens QR Code และ โลโก้สัมผัส ซึ่งช่วยให้ผู้ที่มีความบกพร่องทางสายตาสามารถรู้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ง่ายผ่านการสัมผัส
NaviLens QR Code สามารถสแกนเพื่อฟังข้อมูลเสียงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ เป็นการให้ความสำคัญกับผู้บริโภคทุกกลุ่ม ไม่ใช่แค่ผู้ใช้ทั่วไปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ที่มีความบกพร่องทางสายตา ที่ไม่สามารถอ่านข้อมูลจากฉลากได้เหมือนกับผู้ใช้ทั่วไป
70% ที่ใช้วัสดุรีไซเคิล กับ ความสำคัญของการใช้วัสดุในบรรจุภัณฑ์
อีกหนึ่งจุดเด่นที่ Ariel เน้นย้ำคือการใช้วัสดุที่ยั่งยืน ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ EcoClic ที่ใช้วัสดุรีไซเคิลถึง 70% และได้รับการรับรองจาก Forest Stewardship Council (FSC)
การใช้วัสดุที่ยั่งยืนยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ในสายตาผู้บริโภคที่ใส่ใจในเรื่อง ความยั่งยืน และ การรักษาสิ่งแวดล้อม
ชวนวิเคราะห์ในมุมมองของ Customer-Centric
Customer-Centric Innovation หรือ นวัตกรรมที่มุ่งเน้นลูกค้าคือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ หรือประสบการณ์ใหม่ ๆ โดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลางของการคิดและการตัดสินใจในทุกขั้นตอน อธิบายง่าย ๆ เลยก็คือ แทนที่จะเริ่มจากเทคโนโลยีที่มี หรือสิ่งที่อยากจะทำ
เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจว่า ลูกค้าของเราคือใคร? พวกเขามีความต้องการอะไร? พวกเขามีปัญหาอะไร? และอะไรที่จะทำให้ชีวิตของพวกเขาง่ายขึ้นหรือดีขึ้น?
การออกแบบบรรจุภัณฑ์ EcoClic ของ Ariel ถือเป็น Case Study ที่น่าสนใจของการนำหลักการ Customer-Centric มาประยุกต์ใช้อย่างเป็นรูปธรรมได้ดีเลยทีเดียวนะคะ ในมุมมองของผู้เขียนเองมองวาสการที่แบรนด์ไม่ได้มองข้ามความต้องการของผู้บริโภคที่มีความหลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่มีข้อจำกัดทางร่างกายและการมองเห็น สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งใน Pain Points ของลูกค้า
พัฒนา EcoClic ที่ใช้งานง่าย ปลอดภัย และเข้าถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์ได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผ่านปุ่มกดที่ออกแบบมาเพื่อผู้ใหญ่และยากต่อเด็ก หรือ NaviLens QR Code และโลโก้สัมผัสสำหรับผู้ที่มีความบกพร่องทางสายตา ตรงนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ ‘ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง’ ไม่ใช่แค่ตอบสนองความต้องการใช้งาน แต่ยังสร้างประสบการณ์ที่ดีและสร้างความรู้สึก ‘ได้รับการใส่ใจ’ ให้กับผู้บริโภคทุกกลุ่ม เสิร์ฟมาแบบนี้ก็ เอาใจไปเลยค่ะ
Expand ตลาดไป New consumer groups
นอกจากการออกแบบที่สะดวกและปลอดภัยแล้ว EcoClic ยังทำให้ Ariel สามารถเข้าถึง กลุ่มผู้บริโภคใหม่ ที่มีกำลังซื้อสูง แต่ถูกมองข้ามจากแบรนด์อื่น ๆ อย่างเช่น ผู้พิการทางการเคลื่อนไหว และ ผู้พิการทางสายตา
ตามข้อมูลจาก Ipsos มากกว่า 1 ใน 5 ของผู้บริโภค มีความบกพร่องทางการเคลื่อนไหวหรือสายตา ทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากในการซื้อสินค้าหรือใช้บริการต่าง ๆ โดยเฉพาะในร้านค้าที่ไม่เหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มผู้พิการ
การออกแบบบรรจุภัณฑ์ EcoClic ของ Ariel ไม่ใช่แค่ทำให้การใช้งานสะดวกสบายเท่านั้นนะคะ แต่ยังช่วยเพิ่ม ความสะดวกในการซื้อสินค้า ให้สำหรับคนกลุ่มนี้ด้วยแค่ใช้ NaviLens QR Code แล้วสแกน
นอกจากนี้แล้วการออกแบบที่ใช้งานง่ายและสะดวกยังช่วยเพิ่ม ความพึงพอใจ ของผู้บริโภค และในอนาคตเองก็สามารถกลายมาเป็น ลูกค้าประจำ และ สนับสนุนแบรนด์ในระยะยาว ได้อีกด้วย
สรุป ชวนวิเคราห์ การตลาดผงซักฟอก ผ่าน Customer-Centric ที่ Making Inaccessible Accessible
การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เข้าได้ทุกกลุ่มอย่าง EcoClic ไม่ใช่แค่ทำให้การใช้งานสะดวกขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้ Ariel สามารถสร้าง ความแตกต่าง และ มูลค่าเพิ่ม ให้กับแบรนด์ได้กับหลักการ ทำให้สิ่งที่เข้าถึงยากกลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ ไม่ใช่แค่ช่วยให้ผลิตภัณฑ์สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น แต่ยังช่วยขยายตลาดและสร้าง ความภักดีต่อแบรนด์ ในระยะยาว ผ่านการสร้างสรรค์ผลิตสินค้าที่เข้าใจผู้บริโภค
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ไม่ใช่แค่การออกสินค้าหรือสร้างยอดขายใหม่ ๆ แต่การออกแบบสินค้าและบรรจุภัณฑ์ควรมองไปที่ความยั่งยืน ความสะดวกสบาย และการเข้าถึงสำหรับทุกคนจริง ๆ การออกแบบที่คิดถึงสิ่งเหล่านี้จะไม่เพียงแค่ทำให้สินค้าโดดเด่น แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ที่ดีระยะยาวกับลูกค้า เพราะทุกคนควรได้ใช้งานสินค้าที่ตอบโจทย์และใส่ใจในทุกความต้องการจริงไหมคะ? เป็นยังไงกันบ้างคะกับ การตลาดผงซักฟอก ผ่าน Customer-Centric ที่ Making Inaccessible Accessible หวังว่าผู้อ่านจะสนุกกับเรื่องราวดี ๆ ที่ผู้เขียนนำมาเล่าให้ฟังกันนะคะ หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมาไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ขอบคุณผู้อ่านที่น่ารักทุก ๆ คนพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะ see you ka ʕʽɞʼʔʕ•̫͡•ʔ
AI Prompt : /Imagine Ariel EcoCLIC laundry detergent box in bright, modern environment, reflecting soft light with polished surface, green and white Ariel logo, bold red ‘ARIEL’, ‘EcoCLIC’ in smaller text. Cityscape background with diffused light, giant red jelly-like creature and playful green gummy bear in the foreground with lifelike but whimsical texture. Door open slightly to symbolize accessibility, phrase ‘MAKING INACCESSIBLE ACCESSIBLE’ subtly incorporated into scene, elegant font source source source
บทความที่แนะนำเพิ่มเติม
