AAMI ปรับใช้ Data ลดการเกิด ‘อุบัติเหตุ’ และ ‘เคลมประกัน’ ได้ถึง 70%
เตยว่าต้องมีคนรู้กันมาบ้างแล้วล่ะ ว่าตอนเราทำประกันสักอันนึง บริษัทประกันจะเอาชื่อเราไปทำบุญเสริมดวง จะได้ไม่ต้องเจ็บป่วย หรือประสบอุบัติเหตุ เพื่อลดอัตราการเคลมประกัน เตยเองก็ไม่รู้ว่ามันได้ผลจริงไหม เพราะมันแลออกไปทางสายมู…จริง ๆ ก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่พอดีเกิดราศีพิจิกเลยเชื่อ (ก็คือเชื่อว่ามันได้ผลจริงนั่นแหละ)
แต่ ๆๆๆ ในบทความนี้เตยจะขอเสนออีกแง่มุมนึงที่จับต้องได้ ที่สามารถลดการเกิด ‘อุบัติเหตุ’ และ ลดการ ‘เคลมประกัน’ ได้ถึง 70% จากการปรับใช้ Data ของบริษัทประกันรถยนต์สัญชาติออสเตรเลีย AAMI เกริ่นเยอะไปก็เสียเวลา มาเข้าสู่เนื้อหากันเลยดีกว่าค่ะ
อุบัติเหตุ ที่มาจากปัญหาจุดพักรถที่ไม่มีใครพัก
VIDEO
จากข้อความข้างต้น กรณีศึกษานี้มาจากบริษัทประกันรถยนต์สัญชาติออสเตรเลีย AAMI ดังนั้นประเทศที่เราจะกล่าวถึงต่อไปนี้จะเป็นประเทศออสเตรเลียค่ะ ซึ่งการเดินทางในประเทศนี้ใช้เวลานานมาก เพราะระยะทางของถนนมีระยะที่ยาวมาก แบบมากจริง ๆ สองข้างทางก็เต็มไปด้วยต้นไม้และพื้นดิน ไม่ได้มีสิ่งปลูกสร้างเร้าใจ
ตลอดเส้นทางก็จะมีจุดพักรถอยู่เป็นระยะ แต่กลับกลายเป็นว่า ไม่มีใครหยุดพักรถเลย ส่งผลให้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น จนไปถึงมีคนเสียชีวิตจากการเดินทางอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะกับกลุ่มเด็กวัยรุ่น ถึงแม้ว่าภาครัฐจะเข้ามารณรงค์ ติดป้ายขอให้หยุดพักรถทุก ๆ สองชั่วโมงบอกเป็นระยะ ๆ แต่สิ่งนี้กลับใช้ไม่ได้ผล
พาร์ทเนอร์กับแพลตฟอร์มต่าง ๆ แปลงร่างเป็นเพื่อนร่วมทางทิพย์
เพื่อแก้ไขปัญหา ทาง AAMI ก็ได้ทำการศึกษาและค้นพบวิธีที่จะลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุจากการเดินทางได้ในที่สุด โดยการพาร์ทเนอร์กับแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่กลุ่มวัยรุ่นนิยมใช้ อย่าง Instagram, Spotify, Wave และ TikTok และพัฒนาเป็นแพลตฟอร์มที่ชื่อว่า Rest Towns เพื่อเป็นเพื่อนร่วมทางทิพย์ คอยเตือนให้หยุดพักรถ
นึกภาพง่าย ๆ ค่ะ ไปทริปกัน 3 คน แต่ทั้ง 3 คนไม่มีใครชวนกันหยุดพักเลย เนื่องด้วยอาจจะเกรงใจ ไม่กล้าบอก หรือ คนที่ไม่ได้ขับ นอนหลับ จึงไม่มีใครได้เตือนบอกกัน อุบัติเหตุก็จะเกิด แต่ถ้าใช้ Rest Towns เมื่อไหร่ จะมีเพื่อนร่วมทางทิพย์ที่คอยบอกให้หยุดพักรถ แบบดุดัน ไม่สนหน้าใครใดใดทั้งสิ้น
วิธีการปรับใช้ Data ฉบับบริษัท ‘ประกันรถ’
สาเหตุที่ AAMI พาร์ทเนอร์กับแพลตฟอร์ม อย่าง Instagram, Spotify, Wave และ TikTok นอกจากจะเป็นแพลตฟอร์มที่วัยรุ่นนิยมใช้แล้ว นั่นก็เป็นเพราะ
Instagram จะบอกให้เรารู้ว่า พวกเขาชอบอะไร
Spotify จะบอกให้เรารู้ว่า พวกเขาใช้ระยะเวลาขับรถนานเท่าไหร่ หรือตอนไหน เวลาไหน
Wave และ TikTok จะบอกเราว่า พวกเขาอยู่ที่ไหน
หลักการทำงานจะเป็นแบบนี้ค่ะ AAMI ทำการเก็บ data จุดที่มักเกิดอุบัติเหตุบ่อย ๆ และนำมาวิเคราะห์ถึงการวางเส้นทางเดินรถและตำแหน่งในการตั้ง Rest Towns ตามจุดต่าง ๆ
จากนั้นก็จะทำการโปรโมทบน Instagram ถึงการเป็นเพื่อนร่วมทาง โดยเสนอ Your 2 Hours Playlist และให้เชื่อมต่อกับ Spotify แล้วก็ให้ผู้ใช้เลือกจุดหมายปลายทางและทำการปรับแต่ง Playlist ให้ตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมง ทำให้รู้ได้ว่าพวกเขาขับรถนานเท่าไหร่ ระยะทางเท่าไหน จากการเลือกจุดหมายปลายทางนั่นเองค่ะ
ซึ่งเจ้าตัว Playlist นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เพลงอย่างเดียวเท่านั้นนะคะ แต่จะมีการแทรกบอกผ่าน Radio เป็นเสียงเหมือน Siri บอกถึงจุดแวะพักรถ ร้านอาหาร หรือ Landmark สำคัญต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อกระตุ้นให้เกิดการอยากพักรถนั่นเองค่ะ
และถ้ารู้สึกสนใจอยากแวะพักก็สามารถกดเพื่อขอเส้นทางจาก Wave ได้ และใน Wave ที่เป็นแพลตฟอร์มเหมือน Google map ก็จะมีจุดพักรถหรือ Rest Towns ตำแหน่งอื่น ๆ บอกอยู่ ถ้าอยากแวะพักที่อื่นก็สามารถไปได้ตามเส้นทางที่ขึ้นแนะนำ
เมื่อไปถึงสถานที่หรือจุดแวะพักเหล่านั้น มันเลี่ยงไม่ได้สำหรับกลุ่มวัยรุ่นที่จะเอาโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป ทำคอนเทนต์ เพื่ออัพลงโซเซียลมิเดีย เช่น Instagram หรือ TikTok พร้อมด้วย #Restowns หรือ #AAMIRestowns เป็นต้น ซึ่งการกระทำเหล่านี้ก็จะทำให้เราทราบได้ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนนั่นเอง
อุดช่องโหว่ความสนใจด้วยการปรับแต่งข้อเสนอแบบ Personalization
หลายคนอาจจะเอ๊ะ ฟังดูแล้วแบบนี้มันจะไปช่วยได้ยังไง มันจะกระตุ้นให้อยากพักได้จริงเหรอ?
เตยขอบอกว่าข้อเสนอต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดการเดินทางของบริษัท ประกันรถ แห่งนี้ ไม่ได้เป็นแบบชุดเดียวแล้วปรับใช้กับทุกคน แต่เป็นการปรับแต่งข้อเสนอเฉพาะรายบุคคลต่างหากค่ะ ถามว่าบริษัทจะรู้ได้ยังไงว่าบุคคลนี้ชอบไม่ชอบอะไร
คำตอบก็คือ การกดตกลงยอมรับให้เข้าถึงข้อมูล ที่มักเป็นกล่องเล็ก ๆ ให้เราติ๊กก่อนการเข้าใช้งาน ถ้าติ๊กแล้วเท่ากับว่า คุณได้เปิดประตูบ้านให้เราได้ไปสำรวจความชอบของคุณ ในที่นี่ก็คือผ่าน Instagram นั่นเองค่ะ
พอมี data ก็จะทำให้เรารู้แล้วว่าพวกเขาชอบอะไร สนใจแบบไหน ระบบก็จะทำการประมวลผลปรับแต่ง Playlist ส่งมอบข้อเสนอที่ตรงกับความชอบ หากเปลี่ยนเส้นทางการเดินรถ ก็จะตรวจจับได้จากการใช้ระบบภูมิศาสตร์แบบ real time และปรับแต่งข้อเสนอ จุดพักรถตำแหน่งใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับความชอบขึ้นมาให้ทันที
แค่นี้ก็เป็นการอุดช่องโหว่ที่จะปฎิเสธไม่พักรถได้แล้วนั่นเองค่ะ สิ่งเร้าดึงดูดใจมาขนาดนี้ ไม่จอดยังไงไหว
นอกจาก’อุบัติเหตุ ที่ลดลง อัตราการ ‘เคลมประกัน’ ก็ลดลงอีกด้วย!
อย่างที่เตยได้บอกไปในตอนต้นว่าการปรับใช้ Data ในครั้งนี้ช่วยลดอุบัติเหตุ ทั้งยังช่วยลดอัตราการเคลมประกันได้ถึง 70% อีกด้วย(ตลอดระยะเวลาที่ทำแคมเปญนี้) เรียกได้ว่านี่คือฝันดีของบริษัท ประกันรถ โดยแท้จริง
โดยผลลัพธ์นอกจากนี้ก็จะมี การเข้าถึงแคมเปญมากกว่า 8 ล้านครั้ง จากกลุ่มวัยรุ่น , ได้รับ social impressions มากกว่า 35 ล้านครั้ง, ผลรวมของระยะทางทั้งหมดที่ได้จากการเดินทางคือ 5,466 กิโลเมตร และมีการติดตั้งจุด Road Towns ได้ถึง 52 แห่ง
สรุป AAMI ปรับใช้ Data ลดการเกิด’อุบัติเหตุ’และ’เคลมประกัน’ได้ถึง 70%
จะเห็นได้ว่าการปรับใช้ data นั่นมีประโยชน์และสามารถปรับใช้ได้หลากหลายแง่มุม ในกรณีนี้เอง นอกจากจะช่วยลดอัตราการเคลมประกันไปได้แล้ว ยังช่วยเซฟชีวิตคนได้อีกต่างหาก ถือว่า วิน-วิน กันทั้งสองฝ่าย เพราะเลือกได้ก็ไม่มีใครอยากให้อุบัติเหตุเกิดขึ้นหรอกจริงไหมคะ
เตยมองว่าไอเดียการปรับใช้ data ของ AAMI เป็นอะไรที่เจ๋งและส่งผลลัพธ์ที่ดีมาก นักการตลาดท่านใดที่ทำบริษัทประกัน หรือ ประกันรถ อยู่ ลองนำไอเดียนี้ไปปรับใช้ แต่งเติม พลิกแพลงทำกลยุทธ์ หรือ แคมเปญกันดูนะคะ
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และสร้างไอเดียใหม่ ๆ ต่อผู้อ่านทุกคนนะคะ แล้วพบกันใหม่บทความหน้าค่ะ
สำหรับใครที่อยากอ่านบทความเกี่ยวกับการตลาด หรือข่าวสารการตลาด แบบจัดหนักจัดเต็ม สามารถติดตามได้จาก เพจการตลาดวันละตอน รวมไปถึงเว็บไซต์ Twitter Instagram YouTube และ Blockdit ของการตลาดวันละตอนด้วยนะคะ
Source
Source